ลองขับ By Oil Toyota Yaris Cross HEV Premium Luxury ครบเครื่องทั้งฟังก์ชันและความประหยัด

Toyota Yaris Cross HEV ถือเป็นรถยนต์ที่ขายดีในตลาดรถยนต์ B-SUV ของไทย โดยเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด ที่มีจุดเด่นหลายอย่าง ทั้งความประหยัดน้ำมัน การออกแบบที่ทันสมัยและโดดเด่น รวมถึงออปชันและเทคโนโลยีที่ครบครัน ส่งผลให้รถยนต์รุ่นนี้มียอดขายที่แข็งแกร่งในตลาดรถยนต์เมืองไทยในปัจจุบัน
ฉบับนี้ “ยวดยาน” จะพาไปทำความรู้จักกับ Toyota Yaris Cross HEV ให้มากยิ่งขึ้น โดยรุ่นนี้ถูกพัฒนาให้เป็นรถยนต์ที่ผสมผสานการใช้งานแบบ URBAN x ADVENTURE ตอบสนองการขับขี่ในเมืองที่คล่องแคล่ว สนุกสนาน และสะดวกสบายด้วยฟังก์การใช้งานที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ไว้อย่างครบถ้วน พร้อมความโดดเด่นด้วยขุมพลังไฮบริดที่พัฒนาขึ้นใหม่ ให้ทั้งความแรง ผสานกับความประหยัดน้ำมันที่คุ้มค่า
รถยนต์รุ่นนี้ยังถูกผลิตภายใต้คุณภาพมาตรฐานระดับโลกของโตโยต้า ณ โรงงานประกอบรถยนต์โตโยต้าเกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา โดยโครงการผลิตรถรุ่นนี้มีส่วนช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ และภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยมากกว่า 3,000 ล้านบาท
สำหรับรุ่นที่เรานำมาทดสอบ คือ รุ่น Premium Luxury สนนราคาจำหน่าย 899,00 บาท รูปลักษณ์ทั้งภายนอก และภายในมาแบบจัดเต็มทั้งความสวยงาม ทันสมัย ออปชันหนักแน่นล้นคัน การดีไซน์มาในแบบ SOLID x DYNAMIC สะท้อนความแข็งแรง ทรงพลัง ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่พร้อมลุย เสริมความทันสมัยด้วยเส้นสายของตัวรถ สะท้อนภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่
ดีไซน์ภายนอกให้ความโดดเด่นสะดุดตาด้วยกระจังทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ลายภายในกระจังรูปตัวยู ทำจากพลาสติกสีดำเงา ไฟหน้า LED ไฟหรี่กลางวัน LED และไฟตัดหมอกทรงกลมก็ยังใช้หลอด LED ไฟท้ายแบบ Full LED กันชนหลอมรวมเป็นชิ้นเดียวกับชุดครอบกระจังหน้า เพื่อลดชิ้นส่วนเพิ่มเติม ช่องรับอากาศใต้กันชนขนาดใหญ่นำกระแสลมเย็นไประบายความร้อนให้กับแผงหม้อน้ำ ฝากระโปรงหน้ายกเหลี่ยมมุมสอดรับกับแนวของไฟหน้า เป็นงานออกแบบตามสมัยนิยมที่พบเห็นกันทั่วไป แก้มข้างมีพลาสติกกันกระแทกสีดำ ตัวรถสูงกำลังดี Ground Clearance 210 มม.ทำให้ชาว กทม.ลุยน้ำท่วมได้หายห่วงกว่ารถเก๋ง และสามารถขับท่องเที่ยวเส้นทางธรรมชาติ ขึ้นดอย ลงเขา ได้อย่างสบายใจ นอกจากนี้ในรุ่น Premium Luxury ยังได้หลังคาแบบ Panoramic แบบ Fixed Type พร้อมม่านปรับไฟฟ้า ให้มุมมองที่โปร่งสบาย และช่วยเสริมภาพลักษณ์ความหรูหราได้เป็นอย่างดี
การออกแบบภายในมาแบบ ROOMY x SPORTY เน้นภาพรวมห้องโดยสารกว้างขวาง สบายตา โดยใช้หลักเส้นนำสายตาที่เป็นเส้นตรงลากยาวบริเวณคอนโซลด้านหน้า เสริมความสปอร์ตด้วยการออกแบบที่นั่งฝั่งผู้ขับขี่ให้มีดีไซน์แบบ Driver-Oriented Cockpit เพิ่มความพรีเมียมด้วยการตกแต่งภายในด้วยวัสดุบุนุ่ม วัสดุหุ้มเบาะนั่ง พร้อมเทคโนโลยี “QUOLE MODULE ®” ช่วยลดการสะสมความร้อนบนผิวสัมผัส ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารปรับได้ 14 เฉดสี ปรับความสว่างได้ 4 ระดับ และแผงหน้าปัดเป็นจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว และคอนโซนกลางติดตั้งหน้าจอสัมผัส ขนาด 10 นิ้ว เชื่อมต่อ Apple CarPlay & Android Auto แบบไร้สาย และสามารถดูข้อมูลการขับขี่ได้อย่างครบถ้วน พร้อมติดตั้งกล้องมองภาพรอบคัน Panoramic View Monitor
ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ ที่น่าสนใจในรุ่นท็อปคันนี้ จัดมาให้ใช้งานกันอย่างครบถ้วน เรียกว่าไม่ต้องร้องหาอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เบรกมือไฟฟ้า EPB พร้อมระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมกรองฝุ่น PM 2.5, ช่องปรับอากาศตอนหลัง, ช่องต่อ USB 4 ตำแหน่ง (หน้า 2, หลัง 2), ลำโพง Pioneer 6 ตำแหน่ง, เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง, ประตูหลังไฟฟ้า พร้อม Kick-Activated และอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย ฯลฯ
ส่วนอุปกรณ์ความปลอดภัยก็จัดเต็ม ทั้งระบบความปลอดภัยพื้นฐาน (ABS / EBD / BA / VSC / TRC / HAC), ระบบเซ็นทรัลล็อก พร้อมระบบ Speed Auto Lock, ถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS 6 ตําแหน่ง, สัญญาณเตือนกะระยะ (หน้า 2 จุด–หลัง 2 จุด), กล้องบันทึกภาพด้านหน้า-หลัง, ระบบตรวจวัดลมยางอัตโนมัติ และระบบความปลอดภัยยุคใหม่ Toyota Safety Sense ก็จัดมาให้ครบครัน
ขุมพลังยังคงเป็นจุดเด่นของคันนี้ ด้วยเครื่องยนต์ไฮบริดรหัส 2NR-VEX ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i กำลังรวมในโหมดไฮบริด 111 แรงม้า แรงบิด 141 นิวตัน-เมตร รองรับน้ำมัน E20 ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ผสานแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนเป็นครั้งแรก ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ e-CVT เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อัตราการปล่อย CO2 ต่ำ ประหยัดน้ำมันสูงถึง 26.3 กม./ลิตร (อ้างอิงจาก Eco Sticker)
ในโหมดของการทดสอบ เราเน้นการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง โดยช่วงที่รถติดสลับหยุดนิ่งตามสภาพการจราจร ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. ถือว่าระบบไฮบริดมีการจัดสรรพลังงานได้ดีมาก ชาร์จไฟกลับได้เร็ว วิ่งด้วยไฟฟ้าเพียวๆ สลับกับเครื่องยนต์ได้ตลอดโดยอัตโนมัติ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงทำได้เกิน 20 กม./ลิตร สบายๆ แบบไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องใช้เทคนิคการขับขี่ประหยัดน้ำมันใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่ไม่กดคันเร่งหนัก เลี้ยงความเร็วตามเฉลี่ย 30-60 กม./ชม. เน้นการขับขี่ที่ปลอดภัยและใช้งานตามปกติ ส่วนการขับขี่นอกเมืองที่ต้องใช้ความเร็วบนเส้นทางกรุงเทพฯ-สุพรรบุรี ด้วยระยะทางกว่า 198 กม. รถรุ่นนี้ยังให้อัตราสิ้นเปลืองแปรผันตามความเร็วอยู่ที่ประมาณ 26-30 กม./ลิตร บางช่วงวิ่งเรื่อยๆ 80-90 กม./ชม.ทำได้ถึง 33 กม./ลิตร
ส่วนเรื่องความแรง ต้องบอกว่าไม่ได้เน้นจี๊ดจ๊าดจัดจ้านเอาใจคนเท้าหนัก รถรุ่นนี้เซ็ตความแรงแบบพอดีๆ อัตราเร่งช่วงออกตัว 0-100 กม./ชม. ทำได้ประมาณ 11 วินาที และการเร่งแซงก็หายห่วง 90-120 กม./ชม. ทำได้ฉับไวในระยะที่ปลอดภัย การควบคุมรถผ่านพวงมาลัยไฟฟ้า Electric Power Steering (EPS) รัศมีวงเลี้ยวแคบดี 5.2 เมตร วิ่งในเมืองน้ำหนักเบาสบายให้ความคล่องตัวดี แต่ช่วงใช้ความเร็วสูงนอกเมืองจะรู้สึกว่ามีระยะฟรีพอสมควร ไม่ได้เฉียบคม ฉับไวเหมือนรุ่นพี่ Corolla Cross จึงเหมาะกับการขับขี่สบายๆ ในเมือง หรือใช้งานปกติ มากกว่าจะเอาไปซิ่ง มุดไปมุดมา
ระบบช่วงล่างด้านหน้า McPherson Strut ด้านหลังกึ่งอิสระ Torsion Beam เน้นการขับขี่ตามความเร็วที่เหมาะสม ให้ความนุ่ม นั่งสบาย ไม่แข็ง ไม่ดีด ไม่เด้ง ซึ่งการเซ็ตพวงมาลัยโดยรวมที่ออกมาแบบนี้น่าจะเป็นความตั้งใจของโตโยต้า ที่ทำออกมาเอาใจคนรักรถที่เน้นขับสบาย นุ่มนวล ควบคุมง่าย เป็นรถที่ใช้งานได้สะดวก และสบายใจในทุกๆ วันที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย