ลองขับ By The Great AMG Experience On Track ส่งต่อจิตวิญญาณแห่ง…อัฟฟาลเตอร์บัค ยกระดับการขับขี่…เติมสกิลระดับโลก
ก่อนหน้านี้ ทีมงานยวดยาน ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ AMG Driving Academy 2019 โปรแกรมฝึกอบรมขับรถยนต์สมรรถนะสูงของค่ายเมอร์เซเดส ซึ่งประเทศไทยได้รับโอกาสเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถ่ายทอดเทคนิคการขับขี่โดยทีมผู้ฝึกสอนมืออาชีพจาก Mercedes-AMG พร้อมด้วย เบิร์น ชไนเดอร์ ยอดนักขับเมืองเบียร์ อดีตแชมป์ดีทีเอ็ม 5 สมัย ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Mercedes-AMG
ล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้สานต่อกิจกรรมดังกล่าว ที่ได้รับการยกระดับขึ้นไปอีกขั้นภายใต้ชื่อ AMG Experience On Track โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2 ต่อจากสหรัฐอเมริกา ครบครันด้วยยานยนต์ในตระกูล AMG ที่พร้อมส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ระดับโลก บนสังเวียนความเร็วระดับโลกอย่าง ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ โดย เบิร์น ชไนเดอร์ ยังคงร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมดังกล่าว
นำโดย เอสยูวีสูงสมรรถนะ Mercedes-AMG G 63 และสปอร์ตโรดสเตอร์ Mercedes-AMG SL 43 พร้อมด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกในตระกูล AMG อย่าง Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+ รวมถึง Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe, Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+, Mercedes-AMG GLA 35 4MATIC, Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupe และ Mercedes-AMG GLE 53 4MATIC+
สำหรับ AMG Experience On Track แบ่งสถานีการทดสอบการขับขี่ทั้งหมด 4 สถานี เพื่อฝึกทักษะในด้านต่างๆ รวมถึงสร้างความคุ้นเคยกับสุดยอดยนตรกรรมจาก Mercedes-AMG และเรียนรู้เทคนิคการขับขี่บนสนามแข่ง ก่อนที่จะลงขับขี่จริงแบบเต็มสนาม ซึ่ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้แบ่งการฝึกอบรมออกเป็น 2 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้และซึมซับประสบการณ์ระดับโลกอย่างเต็มที่
สถานีแรก ได้แก่ High Speed Break and Swerve การทดสอบระบบเบรกและระบบความปลอดภัยของตัวรถ รวมถึงการทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ท้าทายต่อผู้ขับขี่ เพื่อทำให้ผู้ขับขี่คุ้นชินกับระยะเบรกของรถและระบบความปลอดภัยที่เข้ามาช่วยเหลือผู้ขับขี่ในสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ โดยแบ่งการทดสอบเป็น 2 ส่วน คือ การทดสอบเบรกทางตรง และการทดสอบเบรกแบบหักหลบสิ่งกีดขวางด้วยความเร็ว 80 และ 100 กม./ชม. ตามลำดับ ซึ่งผู้ขับขี่จะต้องอาศัยทักษะการขับขี่และความเร็วในการตอบสนองต่อสัญญาณไฟที่ปรากฏอยู่บนเสาสถานี เพื่อเบรกฉุกเฉินพร้อมหักหลบไปยังทิศทางที่กำหนดไว้
ส่วนสถานีที่ 2 ได้แก่ Motokhana การขับขี่สไตล์ยิมคาน่าที่บังคับให้ผู้ขับขี่ต้องสร้างความสมดุลระหว่างความเร็ว ความคล่องตัว และความปลอดภัยในการขับขี่ โดยมีหัวใจสำคัญคือการควบคุมการทรงตัวของรถ การบังคับทิศทางของพวงมาลัย การกะระยะและจังหวะเบรก รวมถึงการเติมคันเร่งในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อฝ่าฟันทุกสิ่งกีดขวางไปได้อย่างปลอดภัยในระยะเวลาที่สั้นที่สุด โดยมีความพิเศษคือ ทุกคนจะได้รับชมไลน์การขับขี่ที่สมบูรณ์แบบจาก เบิร์น ชไนเดอร์ ก่อนที่จะเริ่มทดสอบ สำหรับรถยนต์ที่ใช้ในสถานีนี้
สถานีที่ 3 ได้แก่ Corner Theory เพื่อเรียนรู้ทฤษฎีการเข้าโค้งและสร้างความคุ้นเคยกับเส้นทางคดเคี้ยวในช่วงครึ่งหลังของสนามช้างฯ ซึ่งมีรูปแบบของโค้งที่หลากหลายและให้ความรู้สึกท้าทายในรูปแบบที่ต่างกัน โดยมีเป้าหมายในการขับขี่ผ่านโค้งต่างๆ อย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด ซึ่งผู้ฝึกสอนจะคอยแนะนำขั้นตอนทั้งหมด ตั้งแต่จังหวะการเบรกก่อนเข้าโค้ง การลดรัศมีของโค้ง วิธีการมองจุดตัดยอดโค้ง จนไปถึงการหาทางออกและจังหวะการออกรถเมื่อพ้นโค้ง โดยทุกเทคนิคสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งการขับขี่บนสนามแข่งและการขับขี่บนถนนในชีวิตประจำวัน
ส่วนสถานีที่ 4 ได้แก่ Drag Race / Brake to the Point ซึ่งผู้ขับขี่จะได้สัมผัสถึงสมรรถนะอันทรงพลังของรถตระกูล Mercedes-AMG ด้วยการจำลองการแข่งทางตรงในระยะสั้น นอกจากการเร่งความเร็วแบบเต็มสูบตั้งแต่จังหวะการออกตัวเพื่อทิ้งห่างคู่แข่ง เมื่อใกล้ถึงจุดที่กำหนด ผู้ขับขี่จะต้องกะระยะเบรกให้รถหยุดนิ่งในตำแหน่งที่ถูกต้องเพื่อชนะการแข่งขันในแต่ละรอบ สำหรับรถยนต์ที่ใช้ในสถานีนี้
ปิดท้ายด้วยการขับขี่แบบเต็มสนามในรอบ Lead & Follow เมื่อฝึกทักษะจนครบหลักสูตรทั้ง 4 สถานี ซึ่งผู้ฝึกสอนจะเป็นผู้ขับนำและขับขี่ตามเรซซิ่งไลน์ที่ถูกต้อง โดยจะมีการแบ่งกลุ่มการขับขี่เป็นกลุ่มๆ ด้วยรถที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกัน และในแต่ละรอบ ผู้ขับขี่จะได้สับเปลี่ยนกันขับยนตรกรรมหลากหลายรุ่น สัมผัสความแรงทุกรูปแบบในทุกพิกัดตัวถังของรถในตระกูล Mercedes-AMG รวมถึงการลองโหมดการขับขี่ในโหมด Sport และ Sport+ ที่มีอยู่ในรถยนต์ Mercedes-AMG ทุกรุ่น