“เอ็มจี 4” เขย่าอีวี สปอร์ต ขับหลัง ทันสมัย เร้าใจ จ่ายเริ่มต้น 8.69 แสน

เอ็มจี 4 เข้ามาเพิ่มความร้อนแรงให้กับตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ชูความโดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ครบครันด้วยเทคโนโลยีเสริมการใช้งานอันทันสมัย ตอบโจทย์การใช้งานด้วย 2 รุ่นทางเลือก เคาะราคาจำหน่าย 869,000-969,000 บาท พร้อมเดินหน้าส่งมอบ สอดรับความนิยมของผู้บริโภค ตอกย้ำบทบาทผู้นำยานยนต์พลังงานไฟฟ้า
เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) เป็นหนึ่งในค่ายผู้ผลิตรถยนต์ที่เดินหน้าทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% อย่างต่อเนื่อง ประเดิมตลาดด้วย เอ็มจี แซดเอส อีวี ที่มาในรูปโฉมของเอสยูวี ต่อด้วย เอ็มจี อีพี รถวากอนพลังงานไฟฟ้า ล่าสุดเป็นคิวของ เอ็มจี 4 ที่มาในสไตล์โฉบเฉี่ยวทั้งยังเป็นรถอีวีขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นแรกในตลาดด้วยเช่นกัน
ด้วยความนิยมของรถยนต์พลังงานทางเลือกที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ เอ็มจี 4 มาพร้อมการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากผู้บริโภคหลังเปิดให้จับจองเป็นเจ้าของในเดือนพฤศจิกายน ก่อนจะเปิดราคาขายอย่างเป็นทางการในงานมหกรรมยานยนต์ที่ผ่านมา
นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงโปรดักต์ใหม่ว่า “จากจุดเริ่มต้นในการเป็นผู้นำและผู้บุกเบิกให้กับตลาดยานยนต์พลังานไฟฟ้าสู่ประเทศไทยกับ เอ็มจี แซดเอส อีวี จนถึงปัจจุบันที่เราพร้อมนำเสนอ NEW MG 4 ELECTRIC ที่จะเข้าเติมเต็มและพลิกโฉมวงการยานยนต์ไฟฟ้าอีกครั้งกับ The First Rear Wheel Drive EV”
“พร้อมกับนวัตกรรมอันล้ำสมัยที่ทางเอ็มจีได้พัฒนา ที่นอกจากจะมัดรวมความคุ้มค่าทั้งด้านดีไซน์ที่สะดุดตาและเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ให้ประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าสนุกและคล่องตัวยิ่งขึ้นอีกด้วย และยังให้ความมั่นใจในด้านความปลอดภัยเมื่ออยู่บนท้องถนน”
เอ็มจี 4 ได้รับการออกแบบและพัฒนาให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ยกระดับสมรรถนะของรถพลังงานไฟฟ้าให้ขับขี่ได้อย่างสนุกสนานเร้าใจยิ่งขึ้น ภายใต้มาตรฐานเดียวกับโกลบอล ภายใต้โครงสร้างเนบิวลาที่พัฒนาขึ้นเพื่อยนตรกรรมไฟฟ้าโดยเฉพาะมีความยืดหยุ่นในการนำไปปรับใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าได้หลายเซ็กเมนต์ สามารถรองรับแบตเตอรี่ได้หลากหลายความจุ ช่วยให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารมีความกว้างขวางยิ่งขึ้น
ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร มาพร้อมเทคโนโลยี RUBIK’s CUBE BATTERY ขนาดความจุ 51 kWh จัดเรียงเซลล์แบบแนวนอนและระบายความร้อนด้วยระบบ Liquid Cooling System สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 425 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟฟ้าเต็มหนึ่งครั้ง
ทั้งยังชาร์จพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ในขณะชะลอรถ ด้วยระบบ KERS ได้ 4 ระดับ ไล่เลียงจากต่ำ กลาง สูง และแบบแปรผันตามการขับขี่ เพื่อให้เข้ากับการขับขี่ในทุกรูปแบบ ผสมผสานกับการกระจายน้ำหนักแบบสมมาตรที่ 50:50 พร้อมตัวถังมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ สอดคล้องกับช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังอิสระแบบ 5-Link Suspension ที่ลดแรงสั่นสะเทือนจากพื้นผิวท้องถนน และเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะ
รองรับการชาร์จไฟกระแสตรง DC สูงสุด 88kW และการชาร์จแบบเร็ว หรือ Quick Charge จาก 10% – 80% ในเวลาเพียง 35 นาที พร้อมเปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายนอกรถด้วยระบบ V2L ตอบโจทย์การใช้งานในเมืองด้วยโอเวอร์แฮงก์ที่สั้น ส่งผลให้มีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุดเพียง 5.3 เมตร เพิ่มความสะดวกให้ผู้ขับขี่ด้วยโหมด INTELLIGENT SMART ACCESS สามารถสตาร์ตรถได้อัตโนมัติเพียงเหยียบ
เติมเต็มด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ครอบคลุมทั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) ระบบช่วยเตือนอุบัติเหตุจากมุมอับสายตา และระบบช่วยควบคุมการขับขี่ อาทิ ระบบช่วยเบรกขณะถอย (RCTB) ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking) ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS (Driver Monitor System) ที่ช่วยเสริมความปลอดภัยไปอีกขั้น
ทั้งยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i–SMART เติมเต็มการใช้งานด้วยระบบตรวจเช็กอัจฉริยะ (Smart Check) ที่ครอบคลุมระบบตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่และการชาร์จ ไปจนถึงการค้นหาสถานีชาร์จ โดยล่าสุดได้เปิดตัวฟีเจอร์ BATTERY DOCTOR บนแอปพลิเคชัน MG THAILAND บันทึกและวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งาน พร้อมให้คำแนะนำในการดูแลรักษาเพื่อยืดอายุการใช้งาน ท้ายที่สุด ยังช่วยให้การเชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์ง่ายยิ่งขึ้นด้วยระบบสั่งการอัจฉริยะ (Smart Command) และระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะ (Smart Connect)
สำหรับ NEW MG 4 ELECTRIC ประกอบด้วย 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น D และรุ่น X โดยมีสีตัวถังให้เลือกถึง 5 สี คือ สีฟ้า (Brighton Blue) สีดำ (Black Knight) สีแดง (Scarlet Red) สีเทา (Andes Grey) และสีขาว (Arctic White) ตกแต่งภายในด้วยสีดำ (Black) ในรุ่น D ราคา 869,000 บาท และสไตล์ทูโทนเทา-ดำ (Grey & Black) ในรุ่น X ราคา 969,000 บาท
ด้วยรูปโฉมและสมรรถนะที่โดดเด่นส่งผลให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นล่าสุดจากค่ายเอ็มจีเดินหน้าเก็บเกี่ยวยอดจองไปแล้วมากกว่า 1,500 คัน ในวันแรกที่เปิดให้จับจองเป็นเจ้าของ โดย เอ็มจี จะทยอยส่งมอบรถให้กับลูกค้าล็อตแรกในเดือนธันวาคม และคาดว่าจะสามารถเคลียร์ออเดอร์ดังกล่าวได้ภายในปีนี้ ส่วนลูกค้าที่จับจองหลังจากนั้นจะสามารถรับรถได้ในช่วงต้นปีหน้า
นอกจากการนำเสนอผิตภัณฑ์ใหม่ๆ ลงสู่ตลาดแล้ว เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) ยังให้ความสำคัญในการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าให้กับลูกค้าที่ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยการพัฒนาสถานีชาร์จให้ครอบคลุมทุกพื้นที่มากกว่า 128 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยศูนย์บริการที่สามารถรองรับรถยนต์ไฟฟ้าจากเอ็มจี ได้ทุกรุ่นกว่า 160 แห่งทั่วประเทศ