“มาสด้า” ยกระดับ เติมของ ชูงานบริการ
มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) ขับเคลื่อนกลยุทธ์ Retention Business Model โฟกัสการสร้างแบรนด์และบริการหลังการขาย พร้อมสานต่อแผนการพัฒนาธุรกิจรถมือสองคุณภาพดี Mazda CPO เตรียมเสริมทัพเพิ่มทางเลือกด้วยรถรุ่นใหม่ ตั้งเป้าครองส่วนแบ่งการตลาด 3.5% คาดภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์เติบโตเล็กน้อย ด้วยยอดจำหน่าย 900,000 คันในปีนี้
บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยภาพรวมการดำเนินธุรกิจประจำปีงบประมาณ 2565 ซึ่งเป็นปีแรกที่ มร.ทาดาชิ มิอุระ เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารครบหนึ่งปีเต็ม โดยในปีที่ผ่านมา มาสด้ากำหนดแนวทางในการดำเนินธุรกิจใหม่เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้โมเดลธุรกิจ Retention Business Model สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ก่อนการขายจนถึงการบริการหลังการขาย และให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างคุณค่าแบรนด์
และประสบความสำเร็จด้วยเสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าและแฟนมาสด้า รวมถึงผู้จำหน่าย โดยเฉพาะการกลับมาเข้ารับบริการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจาก 72% ในปีงบประมาณ 2561 เป็น 85% ในปีงบประมาณ 2565 รวมถึงอัตราการกลับมาซื้อซ้ำของลูกค้าที่เติบโตขึ้น จาก 15% ในปีงบประมาณ 2561 เป็น 30% ในปีงบประมาณ 2565 หรือเพิ่มขึ้น 100% ซึ่งเป็นไปตามแผนที่มาสด้าวางไว้
นอกจากนี้ แผนการพัฒนาธุรกิจรถมือสองคุณภาพดี Mazda CPO ที่มาสด้าเริ่มขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมก็ดำเนินไปได้ด้วยดี ส่งผลให้ราคารถยนต์มือสองของยานยนต์ค่ายมาสด้า มีราคาขายต่อขยับตัวเพิ่มขึ้น เช่น มาสด้า2 ที่มีอายุการใช้งาน 6 ปี มีมูลค่าการขายต่อเพิ่มขึ้นเป็น 55% ซึ่งเป็นแนวทางที่มาสด้าเลือกใช้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า รวมถึงกระตุ้นให้ลูกค้าเปลี่ยนรถตามระยะเวลาที่ควรจะเป็น โดยใช้ราคาขายต่อเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นการตัดสินใจ
“ภาพรวมปี 2566 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากปี 2565 คาดว่าตัวเลข GDP จะโตอยู่ในช่วง 3.3-3.7% ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวด้านการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน การฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ภาคการเกษตรและการส่งออก ทำให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์จะเติบโตขึ้นเล็กน้อยประมาณ 5% คาดว่ายอดรวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 900,000 คัน ในขณะที่มาสด้าได้ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 3.5% เนื่องจากจะมีรถยนต์รุ่นใหม่เข้ามาเสริมทัพ” มร.ทาดาชิ มิอุระ แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีงบประมาณ 2566
อีกหนึ่งความสำเร็จคือรถยนต์ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ โดยมาสด้าเริ่มจำหน่ายรถยนต์ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟรุ่นแรกในประเทศไทย เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2556 และได้รับความนิยมจากผู้บริโภคด้วยจำนวนมากกว่า 360,000 คันในประเทศไทย ชูโรงด้วย มาสด้า2 ที่ครองความนิยมในตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ด้วยจำนวน 224,000 คัน รวมถึง มาสด้า3 ด้วยจำนวน 42,000 คัน
ขณะที่รถในกลุ่มครอสโอเวอร์เอสยูวี อย่าง มาสด้า CX-3 มีจำนวนทั้งสิ้น 30,000 คัน ส่วนมาสด้า CX-30 มีจำนวน 20,000 คัน, มาสด้า CX-5 จำนวน 35,000 คัน และมาสด้า CX-8 จำนวน 6,000 คัน ด้าน สปอร์ตโรดสเตอร์เปิดประทุนแบรนด์ไอคอน อย่าง มาสด้า MX-5 มีจำนวน 150 คัน ปิดท้ายด้วยรถกระบะ มาสด้า BT-50 อีกจำนวน 3,000 คัน
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า “ในปีนี้มาสด้ายังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจ Retention Business Model ซึ่งเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่ประกาศไปเมื่อปีที่แล้ว แต่เพิ่มเติมเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายยิ่งขึ้น มุ่งสู่การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งด้าน Customer Retention ต้องเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าเลือก คือ Top Retention Brand ให้บริการที่ลูกค้าพึงพอใจ Top Service Retention”
“รวมถึงรักษาส่วนแบ่งการตลาดในแต่ละพื้นที่ Maintain Market Share นำเสนอคุณค่าของแบรนด์ผ่านประสบการณ์และความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา แต่ครอบคลุมรอบด้านมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เรามุ่งมั่นเพื่อเดินหน้าตามแผนงานระยะกลาง Mid-Term Management Plan ให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าแบรนด์ (Brand Value Management) ก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”