“เบนซ์” พร้อมปรับกลยุทธ์ ยกระดับมาตรฐานงานขาย
เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เตรียมเดินหน้าปรับแผนโครงสร้างการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ตามแผนกลยุทธ์ Retail of the Future หวังยกระดับแบรนด์พรีเมียม ไม่แข่งขันด้านราคา พร้อมเปลี่ยนสถานะดีลเลอร์ กลายเป็นเอเจนต์ ใช้โปรโมชันราคาจำหน่ายเดียวกันทั่วประเทศ
ภายหลังการปรับเปลี่ยนหัวเรือใหญ่ของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) โดย มร.มาร์ติน ชเวงค์ เข้ามารับหน้าที่ประธานคนใหม่ ต่อจาก มร.โรลันด์ โฟล์เกอร์ มีผล 1 มกราคม 2566 มุ่งสานต่อภารกิจใหญ่ Retail of the Future ที่จะเปลี่ยนสถานะผู้จำหน่ายในปัจจุบันให้เป็นแค่ “เอเจนต์” ช่วยปล่อยรถและรับค่าคอมมิสชันแทน โดยโชว์รูมทั่วประเทศใช้โปรโมชันและราคาขายเดียวกัน
ขณะเดียวกัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ยังเตรียมปรับราคารถยนต์ใหม่ในหลายๆโมเดล มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2566 ซึ่งสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับแบรนด์รถยนต์ค่ายอื่น เช่น บีเอ็มดับเบิลยู อาวดี้ ปอร์เช่ ด้วยสาเหตุที่มาจากสภาพเศรษฐกิจโลก รวมถึงภาวะเงินเฟ้อ ที่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับการปรับราคาของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในครั้งนี้ มีตั้งแต่ 2 หมื่นบาท ในรุ่น GLC Coupe และ 6 หมื่นบาทกับเอสยูวีเล็ก GLA 200 ไปจนถึงราชาออฟโรด Mercedes AMG G 63 ขยับราคาขึ้น 1.62 ล้านบาท เป็น 17.92 ล้านบาท
นอกจากขึ้นราคารถแล้ว ค่ายดาวสามแฉกยังเริ่มต้นศักราชใหม่ด้วยการต้อนรับนายใหญ่ชาวเยอรมัน “มร.มาร์ติน ชเวงค์” ที่จะเข้ามารับบทบาทสำคัญในการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยการนำกลยุทธ์ Retail of the Future มาใช้ ที่นอกจากการนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้อย่างจริงจัง โดยลูกค้าสามารถเลือกรถยนต์และจองผ่านระบบออนไลน์ได้แล้ว สถานะของผู้จำหน่ายยังเปลี่ยนไปอีกด้วย
สำหรับโมเดล Retail of the Future จะขยายไปในตลาดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั่วโลก ถ้ากฎหมายประเทศนั้นๆ เอื้ออำนวย โดยเริ่มใช้ครั้งแรกในประเทศแอฟริกาใต้ ต่อมาขยับขยายไปยังสวีเดน ออสเตรเลีย และอินเดีย ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ ยืนยันว่ารูปแบบการขายรถแบบนี้ แฮปปี้ทุกฝ่าย ทั้งเอเจนต์ (ดีลเลอร์เดิม) ลูกค้า ที่ขายราคาและโปรโมชันเดียวกัน จึงไม่มีการตัดราคา ทั้งยังดีต่อการบริหารจัดการของบริษัท และมีกำไรที่ยั่งยืน (ไม่ต้องอัดเงินส่งเสริมการขายลงไปเยอะๆ)
ขณะ มร.แมทเทียส เลอร์ส ผู้อำนวยการภูมิภาค เมอร์เซเดส-เบนซ์ คาร์ส ที่เป็นผู้แต่งตั้ง มร.มาร์ติน ชเวงค์ ให้มารับบทบาทในหน้าที่นี้ที่ตลาดเมืองไทย เปิดเผยว่า Retail of the Future จะช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ ส่งผลดีต่อดีลเลอร์และแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอง ซึ่งเรามีผู้เชี่ยวชาญคือ มร.มาร์ติน ชเวงค์ ที่นำโมเดลนี้ไปใช้อย่างประสบความสำเร็จในอินเดีย
เป้าหมายหลักของเมอร์เซเดส- เบนซ์ คือความเป็นลักชัวรี ทั้งเรื่องการให้บริการ เรื่องผลิตภัณฑ์ และความเป็นดิจิทัล ซึ่งทั้งหมดจะทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นแบรนด์ที่เป็นที่ต้องการของลูกค้า
“เรามีสินค้าที่ลักชัวรีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องการเน้นยํ้า คือการให้บริการ และการเข้าถึงลูกค้าที่พร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดี และที่สำคัญ คือเรื่องการขายในช่องทางดิจิทัลจะมีบทบาทมาก ยิ่งสินค้าที่มีความลักชัวรี่ เราต้องมั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับการบริการแบบราบรื่น ไร้รอยต่อที่สุด” มร.เลอร์ส กล่าว
ด้าน มร.มาร์ติน ชเวงค์ ว่าที่ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล และระบบการขายแบบใหม่ที่ถูกนำมาใช้ในอินเดีย ทำให้ในปีที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดในเซ็กเมนต์ลักชัวรีเป็นอันดับหนึ่ง ที่ 45%
อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก มียอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมากกว่า 3 ล้านคันต่อปี แต่กลุ่มรถยนต์ระดับลักชัวรีนั้น มีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของทั้งอุตสาหกรรม โดยมียอดขายไม่ถึง 30,000 คันต่อปี
“การฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นผลลัพธ์ของความยืดหยุ่น ความอดทน และความมุ่งมั่นของผู้คนและพนักงานของเรา ในปี 2565 เมอร์เซเดส-เบนซ์ อินเดีย เตรียมพร้อมรับยอดขายสูงสุดเท่าที่เคยมีมา แซงหน้ายอดขายที่ดีที่สุดที่เคยทำไว้ในปี 2561 นอกจากนี้ ยังมีดิจิทัลแพลตฟอร์ม และระบบการขายแบบใหม่ที่ถูกนำมาใช้ในอินเดียอีกด้วย” มร.ชเวงค์ กล่าวถึงแผนการทำงานที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในตลาดอินเดีย