“ค่ายดวงดาว” ลุยรถไฟฟ้า เสริมทัพรถใหม่ 4 แบรนด์

เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) แถลงผลงานประจำปี 2564 เป็นไปในทิศทางเดียวกับภาพรวมตลาดรถหรูที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 และปัญหาเรื่องเซมิคอนดักเตอร์ พร้อมเดินหน้าลุยทำตลาดด้วยรถใหม่ครบครันทั้ง 4 แบรนด์ ชูความโดดเด่นของรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค เสริมความแข็งแกร่งด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100%
ภาพรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์ในบ้านเรายังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส 2019 รวมถึงภาวะขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ส่งผลให้ยังไม่สามารถเดินหน้าลุยทำตลาดได้เต็มกำลัง นับตั้งแต่ช่วงวิกฤติในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่เว้นแม้แต่ตลาดรถหรูที่โดนเล่นงานอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
ส่งผลให้แต่ละค่ายต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อหวังเก็บเกี่ยวยอดขายคลายวิกฤติ ซึ่ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เลือกตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคด้วยรถในกลุ่มคอมแพ็คคาร์ ที่ได้รับความนิยมในยุคปัจจุบัน รวมถึงรถอเนกประสงค์ และลักชัวรี่คาร์ ที่ตอบโจทย์แฟนเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทย
โดย มร.โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ความต้องการในตลาดรถยนต์ระดับลักชัวรีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีความท้าทายจากสถานการณ์โควิด ส่วนหนึ่งเป็นผลลัพธ์มาจากการที่เราให้ความสำคัญกับลูกค้าและนำเสนอสิ่งที่ต้องการได้อย่างตรงใจ ตลอดปี 2564 เมอร์เซเดส-เบนซ์และพนักงานทุกคนมุ่งมั่นที่จะนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดเสมอให้กับลูกค้า ทั้งแคมเปญการตลาดที่นำเสนอออกมาตลอดทั้งปี”
“ทั้งยังได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ในกลุ่มรถยนต์รุ่น GLS และรุ่น S-Class ใหม่ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมายังได้ประกาศเปิดตัว The new EQS ซึ่งจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่เมอร์เซเดส-เบนซ์จะผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในปีนี้ เป็นการเริ่มต้นยุคใหม่อย่างเป็นทางการของการนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทย”
ในปีที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มองเห็นอย่างชัดเจนว่าความต้องการของผู้บริโภคนั้นเพิ่มสูงขึ้นตลอดทั้งปี ในช่วงครึ่งปีแรก ยอดขายรถยนต์คอมแพ็คเพิ่มขึ้นถึง 58% หลังการเปิดตัวรถยนต์รุ่น A-Class ใหม่และรุ่น GLA ใหม่ ในขณะที่ในกลุ่มรถยนต์ Luxury และกลุ่ม SUV มียอดขายเพิ่มขึ้น 27% และ 29% ตามลำดับ โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์คอมแพ็คนั้น หากรวมกับยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังนั้น เติบโตขึ้นถึง 113% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
สะท้อนให้เห็นว่ารถยนต์รุ่นนี้เป็นที่นิยมสำหรับผู้บริโภคชาวไทย ส่วนภาพรวมของไตรมาสที่ 4 ยอดขายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เพิ่มขึ้น 28.1% นอกจากนี้ ยอดขายของรถยนต์รุ่นปลั๊ก-อิน ไฮบริด ยังมีการเติบโตขึ้นถึง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากการเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่สุดในตลาดปลั๊ก-อิน ไฮบริด ระดับลักชัวรี่ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดี
ในปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้เตรียมรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งจากแบรนด์ Mercedes-Benz, Mercedes-EQ, Mercedes-Maybach และ Mercedes-AMG โดยมี The new EQS เป็นไฮไลต์ในฐานะรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่จะผลิตและวางจำหน่ายในประเทศไทย จากความสนใจของผู้บริโภคผ่านช่องทางดิจิทัลมามากกว่า 500 ราย หลังการเปิดตัวในงานมหกรรมยานยนต์ รงมถึงอีเว้นต์พิเศษที่เซ็นทรัลเวิลด์และเอ็มโพเรียมในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
ด้านงานบริการหลังการขายพร้อมสานต่อแคมเปญต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยโฟกัสไปที่การมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ทั้งในเรื่องผลิตภัณฑ์และบริการผ่านช่องทางดิจิทัล ด้วยข้อเสนอแบบเฉพาะบุคคล ความช่วยเหลือส่วนบุคคล และการติดต่อลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ พร้อมนำเสนอ Mercedes me Store เพื่อมอบแพ็คเกจเสริมดิจิทัลที่อัปเดตทั้งหมดเพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า พร้อมทั้งพัฒนาข้อเสนอสุดพิเศษของ MBSP อย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในตลาดโลกยังคงแข็งแกร่ง แบรนด์ Mercedes-Maybach, Mercedes-AMG และ G-Class มียอดขายที่เป็นสถิติใหม่ในปี 2564 ตอกย้ำแบรนด์รถยนต์หรูที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก รวมถึงรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า ที่ทำยอดขายสูงถึง 227,458 คัน เพิ่มขึ้น 69.3% โดย 48,936 คัน เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) จากแบรนด์ Mercedes-EQ ที่ทำยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 154.8%