‘เบนซ์’ ปรับแผนรถไฟฟ้า เตรียมส่งซีแอลเอพลิกเกม

ความผันผวนของตลาดรถยนต์ไฟฟ้ายังเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่เว้นแม่แต่ยานยนต์ในกลุ่มพรีเมียม โดยล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ ไทยแลนด์ เดินหน้านโยบายปรับราคารถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่ม EQ ใหม่ ทั้งพอร์ต ยอมรับหลังเรียนรู้ความต้องการ-พฤติกรรมลูกค้าไทย ลั่นเปิดตัวรุ่นใหม่ CLA 250+ ปลายปีนี้
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ประกาศเดินหน้ายานยนต์ไฟฟ้าในไทยต่อเนื่อง พร้อมปรับซับแบรนด์จากเดิมที่ใช้ซับแบรนด์ Mercedes-EQ เปลี่ยนมาอยู่ภายใต้แบรนด์ Mercedes-Benz ทั้งหมด รถยนต์ทุกรุ่นที่เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% จะใช้ชื่อรุ่นตามด้วย “with EQ Technology” ส่วนรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด จะตามด้วย “with EQ Hybrid Technology” ย้ำปรับโครงสร้างราคารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อความเหมาะสมให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
มร.มาร์ทิน ชเวงค์ ซีอีโอ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ไทยแลนด์ เปิดเผยว่า การทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้มีการใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ โดยเริ่มต้นด้วยการนำรุ่นแฟลกชิปในเซ็กเมนต์ Top-End Luxury อย่าง EQS มาเปิดตัวครั้งแรกในปี 2565 ทั้งรุ่นนำเข้าและรุ่นประกอบในประเทศ เพื่อทำให้คนไทยได้สัมผัสกับขั้นสุดของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับโลกจากเมอร์เซเดส-เบนซ์
ในปี 2566–2567 จะเริ่มเปิดตัวรถยนต์ในเซ็กเมนต์ Entry Luxury อย่าง EQB 250 ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนไปถึงการเปิดตัว EQE 350 4MATIC SUV, EQE 53 4MATIC+, EQE 300 และ EQS 450 4MATIC SUV ตามลำดับ ซึ่งจากระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีความเข้าใจในโจทย์และความพร้อมของผู้บริโภคชาวไทยสำหรับการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นอย่างดี
กลยุทธ์ด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ต่อจากนี้ หลังจากการเปลี่ยนผ่านของยุค Mercedes-EQ ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ คาดหวังให้ The new CLA เป็นโมเดลสำคัญที่จะเข้ามาตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทยที่มองหารถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในเซ็กเมนต์ที่จับต้องได้ โดย CLA 250+ with EQ Technology จะเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ประกอบในประเทศไทยด้วยแพลตฟอร์ม MMA ที่ทำให้กระบวนการผลิตรถยนต์ของทุกระบบขับเคลื่อนมีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อการกำหนดโครงสร้างราคาของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่จะเปิดตัวในอนาคต
สำหรับรถ CLA 250+ with EQ Technology มาพร้อมกับสมรรถนะ กำลังสูงสุด 272 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร มีการติดตั้งแบตเตอรี่ 800V ขนาด 85 kWh โดยมอบระยะทางการขับขี่สูงสุด 792 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง DC Charge สูงสุด 320 kW
นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งระบบปฏิบัติการ MB.OS ที่ผสานการทำงานของเทคโนโลยี AI ด้วยระบบ MBUX Virtual Assistance ที่ร่วมมือกับ Google นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อเข้ากับแอปพลิเคชันระดับโลกมากมาย อาทิ ChatGPT, Gemini, Google Maps, Microsoft Teams, Webex, Zoom เป็นต้น
ล่าสุด บริษัท ยังได้ปรับลดราคาขายรถอีวี ในตระกูล EQ ใหม่ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และเหมาะสมกับภาวะตลาดในไทย ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ ปรับลดราคาขายรถไฟฟ้า (อีวี) อย่างรุ่น Mercedes-Benz EQE 300 ได้ปรับลดลงมาเหลือ 2.89 ล้านบาท จากราคาเดิมที่ 3.97 ล้านบาท โดยหลังจากปรับราคาขายดังกล่าวเริ่มเห็นยอดจองเพิ่มขึ้น โดย 30 วันที่ผ่านมา มียอดจอง 220 คัน
มร.มาร์ทิน กล่าวเสริมว่า หลังจากเริ่มบุกตลาดรถอีวี ในไทยตั้งแต่ปี 2564 ความท้าทายอย่างหนึ่งที่พบคือ การรับรู้ (Perception) ของลูกค้าต่อรถ EV ซึ่งค่อนข้างต่างจากในยุโรปที่ลูกค้ามองว่าอีวี มีราคาสูงกว่ารถยนต์สันดาปภายใน (ICE) แต่ในเอเชียลูกค้าจะมองว่าราคารถไฟฟ้าถูกกว่า
“เป็นการเรียนรู้หลังจากที่เราไม่เคยทำตลาดรถไฟฟ้ามาก่อน เดิมทีเรามองว่ารถอีวี ที่มีต้นทุนเทคโนโลยีสูงกว่า ควรจะบุกตลาดด้วยรุ่นแฟล็กชิปที่มีราคาสูง ทำให้เราต้องปรับราคาเพื่อให้ตรงกับสภาพการแข่งขันในตลาด”
“ในบรรดาท็อป 25 แบรนด์ผู้ผลิตและจำหน่ายรถในไทย มีสัดส่วนรถอีวีราว 30% และในจำนวนนี้มี 70% ที่ราคาขายต่ำกว่า 2 ล้านบาท ขณะที่ภาวะตลาดในปัจจุบันต้องยอมรับว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่ได้ฟื้นกลับมาเต็มที่ ความท้าทายที่เกิดขึ้นคือการชะลอตัวของอุตสาหกรรมโดยรวม เมื่อปี 2567 ยอดขายรถทั้ง EV และ ICE ของกลุ่มท็อป 25 แบรนด์ ลดลง 24% ส่วนปีนี้คาดว่าจะเริ่มทรงตัวได้”
“อย่างไรก็ดี เรายังเชื่อว่าจะเห็นการเติบโตของรถ EV ในระยะยาว ซึ่งในไทยเชื่อว่าจะเห็นตัวเลข 100,000 คันต่อปี ตามเป้าหมายของรัฐบาล แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะฟื้นกลับมาเมื่อไร หลังจากปีก่อนมียอดขายรถอีวี รวมประมาณ 70,000 คัน” มร.มาร์ทิน ทิ้งท้าย