“เบนซ์” ต่อยอด “EQB” 3.02 ล้านบาท สานต่อความนิยม BEV ในประเทศไทย
เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) สานต่อความนิยมและทิศทางอันยอดเยี่ยมของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมเติมพอร์ตเพิ่ม 3 รุ่นในปีนี้ นำทัพโดย EQB 250 AMG Line ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้แพลตฟอร์มของ GLB ตอบสนองการใช้งานภายใต้บทบาทของรถยนต์อเนกประสงค์ วิ่งได้ระยะทางสูงสุดราว 460 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟฟ้าเต็มหนึ่งครั้ง เคาะราคาจำหน่าย 3,020,000 บาท
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) แถลงผลการดำเนินงานประจำปี 2565 เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 34% ด้วยยอดจดทะเบียน 13,182 คัน โดยเซ็กเมนต์ Dream Cars โตขึ้น 28% จากยอดขาย CLS และ C-Coupe ส่วนในเซ็กเมนต์ Contemporary Luxury อย่าง The new C-Class E-Class และ S-Class เติบโตขึ้น 12% ด้าน Top-end Luxury อย่าง Mercedes-Maybach ตัวเลขยอดขายโตขึ้นกว่า 3 เท่า จากปีที่ผ่านมา
ล่าสุดได้เผยแผนดำเนินธุรกิจในปีนี้ ภายใต้การนำของ มร.มาร์ทิน ชเวงค์ ที่เข้ามารับตำแหน่งประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมสานความสำเร็จต่อจาก มร.โรลันด์ โฟลเกอร์ ที่หมดวาระและโยกไปรับตำแหน่งที่สำนักงานใหญ่ ประเทศเยอรมนี
“ในปีที่ผ่านมา นับเป็นปีที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประสบความสำเร็จทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยในปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จะเดินหน้าด้วยวิสัยทัศน์ Ambition to Lead ที่สะท้อนผ่านแผนการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ รวมถึงจะขยายสัดส่วนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศให้เป็น 30% ภายในปี 2572”
“และในปีนี้เราได้วางแผนในการขยาย EV Portfolio ในประเทศไทย ผ่านการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ทั้งหมด 3 รุ่น เริ่มด้วย EQB 250 AMG Line หนึ่งในรถภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก รวมถึงการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ผ่านการร่วมมือกับผู้ผลิตและผู้ให้บริการด้านสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าชั้นนำในประเทศไทย” มร.มาร์ทิน ชเวงค์ กล่าว
สำหรับ EQB 250 AMG Line คือยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100% ได้รับการพัฒนาภายใต้แพลตฟอร์มเดียวกันกับ GLB มาพร้อมชุดแต่งรอบคันแบบ AMG bodystyling โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ Radiator grille พร้อมแถบคาดกระจังหน้าโครเมียมแบบ Twin blade รับกับโลโก้ดาวสามแฉกของเมอร์เซเดส-เบนซ์
เติมเต็มการใช้งานด้วยโคมไฟหน้าความละเอียดสูงแบบ LED High Performance ตกแต่งเส้นสายไฮไลต์สีฟ้าแสดงความเป็นตัวตนของรถในตระกูล Mercedes-EQ มาพร้อมระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist) รวมถึงราวหลังคาอะลูมิเนียมในสไตล์ของรถอเนกประสงค์ และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ Multi-spoke ขนาด 20 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารมาพร้อมดีไซน์แบบ AMG ไล่เรียงตั้งแต่คอนโซลหน้าที่ตกแต่งแบบ Aluminium-look ไปจนถึงเบาะหนังสไตล์ AMG ที่หุ้มด้วยหนัง ARTICO ตัดสลับกับ MICROCUT microfibre สีดำ พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง Nappa และแป้นควบคุมการคืนพลังงานไฟฟ้า (Regenerate) แบบ Paddle shift ที่ทำจากวัสดุ Galvanished steel
ครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานและความบันเทิง มาพร้อมระบบการแสดงผลและระบบควบคุมฟังก์ชันการใช้งานด้วยหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงแบบ All-digital instrument display ขนาด 10.25 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลางขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมติดตั้งระบบอินโฟเทนเมนต์ สามารถควบคุมฟังก์ชันการทำงานภายในรถผ่านระบบ MBUX6
เสริมความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ด้วยระบบปรับเบาะแบบไฟฟ้าที่มาพร้อมระบบหน่วยความจำแบบ memory seat ทั้งเบาะผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแยก 2 โซน แบบ THERMOTRONIC พร้อมการควบคุมระบบปรับอากาศผ่านสมาร์ตโฟน ระบบไฟ Ambient Light 64 เฉดสี หลังคาพาโนรามิกซันรูฟ เปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า ระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ ระบบการเชื่อมต่อ Smart Phone Integration รองรับทั้งระบบ Apple CarPlay และ Android Auto รวมถึงระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย สำหรับที่นั่งด้านหน้า
ครบครันด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูง อาทิ ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ, ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ พร้อมกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยจอด, ระบบรักษาระดับความเร็ว, ระบบดูดซับแรงสั่นสะเทือน, ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่, ระบบแจ้งเตือนยานพาหนะขณะเปิดประตูรถ และระบบแสดงสถานะลมยางพร้อมระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง
โดย EQB 250 AMG Line มาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ PSM (Permanently Excited Synchronous Motor) รีดพละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า สร้างแรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในระยะเวลา 8.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
มาพร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ion แบบแรงดันสูง (High-Voltage) ความจุแบตเตอรี่ 66.5 kWh สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 460 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จกระแสตรง DC สูงสุด 100 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 10-80% เพียง 32 นาที และรองรับการชาร์จกระแสสลับ AC สูงสุด 11 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100% ในระยะเวลา 6 ชั่วโมง 50 นาที
เติมเต็มความสะดวกสบายให้กับการใช้งานด้วย Mercedes-Benz Wallbox Home รุ่น 2.0 ที่มาพร้อมระบบป้องกันฝุ่นกันน้ำ ตามมาตรฐาน IP55/IK10 นอกจากนี้ ยังสามารถควบคุมการชาร์จไฟฟ้าและอัปเดตซอฟต์แวร์ได้แบบ OTA (over-the-air) ผ่านแอปพลิเคชัน Mercedes me วางจำหน่ายในราคา 3,020,000 บาท