‘เก๋ง’ สวนวิกฤติ เดือน 4 โต 3.6% ‘ไฮบริด’ มาแรงขายมากสุด

รอยต่อไตรมาสแรกเข้าสู่ไตรมาสสอง ภาพรวมตลาดรถยนต์ในประเทศยังคงอยู่ในสภาวะทรงตัว โดยได้รับแรงหนุนจากรถยนต์พลังงานทางเลือก เอชอีวี ที่มีอัตราเติบโตขึ้นกว่า 30% โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์นั่ง เดือนเมษายน ปิดยอด 17,917 คัน เพิ่มขึ้น 3.6% ส่วนตลาดปิกอัพยังลุ้นเหนื่อย ท่ามกลางปัจจัยเศรษฐกิจที่ซบเซา คาดการณ์ช่วงเวลาที่เหลือ ค่ายรถเตรียมตั้งแผนรับมือ ส่งโปรดักต์ใหม่ ทยอยเปิดตัว กระตุ้นกำลังซื้อ สร้างโอกาสเก็บเกี่ยวยอดขาย เปิดความคึกคักขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568
ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยนับตั้งแต่ต้นปี มกราคม-เมษายน 2568 ยอดขายรถยนต์รวมยังคงลดลง โดยตลาดรถมียอดจำนวน 200,386 คัน ลดลง 4.8% แบ่งออกเป็นยอดขายจากเซ็กเมนต์รถยนต์นั่ง 76,151 คัน ลดลง 8.1% ส่วนรถเพื่อการพาณิชย์ 124,235 คัน ลดลง 2.6% อย่างไรก็ตามเมื่อมาดูยอดขายเฉพาะเดือนเมษายน 2568 พบว่าตลาดรวมกระเตื้องเล็กน้อย โดยมียอดขาย 47,193 คัน เพิ่มขึ้น 1% ในเซ็กเมนต์รถยนต์นั่งมียอดขาย 17,917 คัน เพิ่มขึ้น 3.6% ขณะที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขายได้ 29,276 คัน ลดลง 0.6%
แม้ภาพรวมตลาดรถยนต์จะหดตัว แต่กลุ่มรถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือกยังคงมีอัตราการเติบโตตามทิศทางความต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของผู้บริโภค นำโดยรถยนต์ไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริดตามลำดับ ซึ่งปัจจุบันรถยนต์ในกลุ่มพลังงานทางเลือกที่กล่าวมายังทำตลาดอยู่ในกลุ่มรถยนต์นั่งเป็นหลัก
จากทิศทางดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าปี 2568 รถยนต์นั่งกลุ่มพลังงานทางเลือกจะสามารถยึดพื้นที่ส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 55% ของยอดขายรถยนต์นั่งรวม ขณะที่รถเพื่อการพาณิชย์กลุ่ม xEV คาดว่าจะยังมีส่วนแบ่งตลาดน้อยมากเพียง 1% ของยอดขายรถเพื่อการพาณิชย์รวม
สำหรับแบรนด์รถยนต์ที่ขายดี 10 อันดับแรกในช่วง 4 เดือนแรกของปี อันดับ 1, 2 และ 3 ยังคงเป็นแบรนด์จากญี่ปุ่น ไล่มาตั้งแต่ โตโยต้า อีซูซุ ฮอนด้า มีส่วนแบ่งทางการตลาด 37.7%, 12.9% และ 12.3% ตามลำดับ ส่วนอันดับ 4 ตกเป็นของแบรนด์จีน อย่างบีวายดี ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 8.3% และอันดับ 5 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ครองสัดส่วนอยู่ที่ 4.4% ต่อด้วย เอ็มจี อันดับ 6 มีส่วนแบ่งการตลาด 3.4% ขยับมาเป็น ฟอร์ด อันดับ 7 มีส่วนแบ่งการตลาด 3.3 % ส่วน มาสด้า รั้งท็อปเท็น ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 1.3%
ทั้งนี้ หากพิจารณาตามสัญชาติของค่ายรถยนต์ จะเห็นว่าค่ายรถญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้นำตลาดของไทยในปัจจุบัน เลือกทำตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกในกลุ่มรถยนต์ไฮบริดเป็นหลัก ส่วนค่ายรถยนต์จีน เน้นขายรถยนต์บีอีวี และเริ่มสร้างตลาดรถยนต์ปลั๊ก-อินไฮบริด มากขึ้นในปีนี้ ขณะที่ค่ายรถยนต์ตะวันตกยังคงเน้นการทำตลาดรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด เป็นช้อยส์แรก โดยมีรถยนต์ไฟฟ้า เป็นตัวเลือกเสริมให้กับผู้บริโภค
สำหรับทิศทางตลาดรถยนต์ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเป็นที่น่าจับตา จากการต้องเผชิญกับปัญหาผลพวงต่อเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมของผู้บริโภค, สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ, กำลังซื้อในภาพรวมค่อนข้างเปราะบาง, พฤติกรรมการใช้รถของคนไทยยาวนานขึ้น และการแข่งขันด้านราคาที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้ผู้บริโภคบางส่วนชะลอการตัดสินใจซื้อรถออกไป
จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บรรดาค่ายรถยนต์ต่างจำเป็นต้องคิดค้นหากลยุทธ์แผนงานการส่งเสริมการขาย การส่งผลิตภัณฑ์รถยนต์รุ่นใหม่ เปิดตัวเพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดให้มีความคึกคักและสร้างทางเลือกให้ผู้บริโภค เป็นตัวขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงเดินหน้าต่อไป
โดยเฉพาะรถยนต์ไฮบริด (เอชอีวี) ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามลำดับ เป็นแรงส่งสำคัญในช่วงที่ตลาดยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เห็นได้จากการที่รถยนต์ไฮบริดในไทยมียอดจำหน่ายเพิ่มเกือบ 30% แสดงให้เห็นถึงทางเลือกเทคโนโลยีของผู้บริโภคที่หลากหลายขึ้น คาดการณ์ว่าปี 2568 ประเทศไทยจะขายรถได้ถึง 6 แสนคัน เติบโตขึ้น 5% ส่วนโตโยต้า ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 231,000 คัน เพิ่มขึ้น 5% ส่วนแบ่งตลาด 38.5% โดยตลาดรถยนต์นั่งยังเป็นหัวหอกสำคัญ ในขณะที่ตลาดปิกอัพยังต้องลุ้นเหนื่อยในช่วงเวลาที่เหลือของปี