“มายบัค” เอสคลาส ประกอบไทยรุ่นแรก ขุมพลังปลั๊ก-อิน ไฮบริด เริ่มต้นต่ำ 10 ล้านบาท

เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) สานต่อทิศทางการทำตลาดไฮเอ็นด์ ลักชัวรี่ เปิดตัว Mercedes-Maybach S 580 e รุ่นประกอบในประเทศ ยกระดับการใช้งานขึ้นไปอีกระดับด้วยขุมพลังปลั๊ก-อิน ไฮบริด มาพร้อมราคาเริ่มต้น 9,880,000 บาท และ 11,200,000 บาท สำหรับสีทูโทน ตอกย้ำความสำคัญและมาตรฐานระดับโลกของโรงงานประกอบในประเทศไทย
ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้เปิดตัว Mercedes-Maybach S 580 ภายใต้ขุมพลังไฮบริด ซึ่งยกระดับการใช้งานจากรุ่นก่อนหน้าที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน ตอบสนองความต้องการของแฟนไฮเอ็นด์ ลักชัวรี่ ในตลาดประเทศไทย ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับทิศทางการขับเคลื่อนรถในเซ็กเมนต์ดังกล่าวของผู้ผลิตยานยนต์สัญชาติเยอรมัน
ล่าสุด ค่ายเมอร์เซเดส ได้เดินหน้าสานต่อความนิยมด้วย Mercedes-Maybach S 580 e รุ่นประกอบภายในประเทศไทย ส่งผลให้ราคาจำหน่ายเริ่มต้นลดลงมาอยู่ที่ 9,880,000 และ 11,200,000 บาท สำหรับสีทูโทน ซึ่งเป็นรุ่นแรกของ Mercedes-Maybach S-Class ที่เป็นผลผลิตจากโรงงานประกอบในประเทศไทย ทั้งยังเป็นรุ่นแรกที่มาพร้อมราคาเริ่มต้นที่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
โดย มร.มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัวของ Mercedes-Maybach S 580 e รุ่นประกอบในประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ มุ่งมั่นสร้างความเป็นเลิศให้กับแบรนด์ Mercedes-Maybach โดยหนึ่งในองค์ประกอบที่โดดเด่นที่สุดของรถในตระกูล Mercedes-Maybach คือพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังที่พร้อมมอบประสบการณ์ระดับ First-Class ซึ่งถูกออกแบบอย่างพิถิพิถันและใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายสูงสุดในทุกมิติ”
สำหรับ Mercedes-Maybach S 580 e โดดเด่นสง่างามด้วยกระจังหน้าโครเมียมแบบ Radiator grille และตราสัญลักษณ์ Maybach อันเป็นเอกลักษณ์ ล้อมรอบด้วยกระจกแบบ laminated glass สะท้อนความร้อน ป้องกันรังสีอินฟราเรดและเสียงสะท้อนจากภายนอก มาพร้อมไฟหน้าแบบ DIGITAL LIGHT และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist Plus ผสานการทำงานด้วยระบบปรับโคมไฟหน้าตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง รวมถึงไฟท้ายดีไซน์ใหม่พิเศษแบบ LED พร้อมเทคโนโลยี fibre-optic
ภายในห้องโดยสารหรูล้ำด้วยแผงคอนโซลกลางแบบ black crystal-look finish พร้อมหน้าจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลาง OLED ขนาด 12.8 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ Digital ที่สามารถปรับรูปแบบการแสดงผลได้ 3 รูปแบบ ตกแต่งบริเวณโครงหลังคาด้วย DINAMICA microfibre คุณภาพสูง ติดตั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 3 ก้าน หุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control
เติมเต็มความพรีเมียมด้วยเบาะนั่งดีไซน์หรูหุ้มหนัง Exclusive Nappa ที่ตกแต่งแบบ diamond design และระบบนั่งด้านหลังแบบ First-Class พร้อมฟังก์ชันการนวดที่สามารถเปลี่ยนทุกความเหนื่อยล้าให้เป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลาย รวมถึงระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMOTRONIC แบบ 4-ZONE ฟังก์ชันปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสาร ระบบฟอกอากาศแบบ HEPA filter และระบบตรวจวัดระดับฝุ่นละอองขนาด PM 2.5 เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ขับเคลื่อนเครื่องยนต์เบนซินแบบแถวเรียง 6 สูบ พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุดถึง 367 แรงม้าที่ 5,500-6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,500 รอบ/นาที ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 150 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร ให้กำลังรวมสูงสุดถึง 510 แรงม้า และแรงบิดรวม 750 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 5.7 วินาที
อัปเกรดการใช้งานด้วยแบตเตอรี่แรงดันสูงแบบ Lithium-ion ขนาด 28.6 kWh ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 60 kWh ใช้เวลา 30 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จ 2 ชั่วโมง 30 นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
เติมเต็มการใช้งานด้วยระบบช่วงล่างที่ติดตั้งล้อ MAYBACH แบบ forge wheels ขนาด 20 นิ้ว และระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (AIRMATIC) เพื่อช่วงล่างที่นุ่มนวล ทั้งยังสามารถปรับตั้งค่าให้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่ ความเร็ว และการบรรทุกสัมภาระได้อย่างอัตโนมัติ เพิ่มความสะดวกสบายและความมั่นใจให้กับการใช้งานบนทุกสภาพถนน ตอกย้ำความหรูหราและสมรรถนะการใช้งานที่เหนือขึ้นไปอีกขั้น
ครบครันด้วยเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยตามแบบฉบับรถยนต์ระดับไฮเอ็นด์ ลักชัวรี่ ทั้งระบบขอความช่วยเหลืออัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistance package ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยและเตือนเมื่อปล่อยมือ และระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill-Start Assist รวมถึงระบบช่วยจอด Active Parking Assist with PARKTRONIC พร้อมกล้อง 360° ที่จะช่วยนำรถเข้าจอดได้อย่างง่ายดายผ่านการส่งสัญญาณเสียง และการแสดงภาพรอบทิศทางผ่านกล้อง 360°