“มายบัค” ประกอบไทย ถูกลง เกือบครึ่ง เริ่ดหรู ขุมพลังปลั๊ก-อิน ไฮบริด

เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ยกระดับความพรีเมียมด้วย Mercedes-Maybach S 580e Premium Plug-in Hybrid รุ่นประกอบในประเทศ ตอบสนองความต้องการของแฟนอัลตร้าลักชัวรี่ในประเทศไทย ภายใต้ราคาเริ่มต้น 9,880,000 บาท ถูกลงจากรุ่นนำเข้าถึง 8 ล้านบาท ตอกย้ำความสำคัญ การันตีมาตรฐานการประกอบรถยนต์ในประเทศไทย
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เดินเครื่องทำตลาดอัลตร้า ลักชัวรี่ในประเทศไทย ด้วย Mercedes-Maybach GLS600 ยานยนต์สุดหรูภายใต้รูปโฉมของรถอเนกประสงค์ ที่เปิดตัวและเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้จับจองเป็นเจ้าของ ผ่านผู้แทนจำหน่ายเมอร์เซเดส-มายบัค อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ก่อนจะเติมความพรีเมียมด้วย Mercedes-Maybach S580 4MATIC Premium ที่เข้ามาเสริมความหรูหราให้กับลูกค้าในประเทศไทย ตอบสนองการใช้งานในรูปแบบที่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า อย่าง Mercedes-Maybach GLS600
หลังจากนั้นได้ประกาศเตรียมความพร้อมที่จะเดินไลน์ประกอบในประเทศไทย ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ประเทศร่วมกับจีน ที่เดินไลน์ประกอบ เมอร์เซเดส-มายบัค นอกประเทศเยอรมนี ตอกย้ำความสำคัญและย้ำทิศทางการทำตลาดลักชัวรี่คาร์ในประเทศไทย ล่าสุด ค่ายดวงดาว พร้อมจำหน่าย Mercedes-Maybach S 580e Premium Plug-in Hybrid ซึ่งเป็นผลผลิตจากโรงงานประกอบในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ภายใต้ราคาจำหน่ายเริ่มต้น 9,880,000 บาท ถูกลงกว่ารุ่นก่อนหน้าที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) นำเข้ามาทำตลาดในปีก่อนหน้านี้
สำหรับรูปโฉมโดดเด่นชินตาในแบบฉบับของ S-Class ทว่ายกระดับขึ้นไปอีกขั้นด้วยระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น เพิ่มความพรีเมียมและเป็นตัวตนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยกระจังหน้าดีไซน์เฉพาะของ Mercedes-Maybach มาพร้อมตัวอักษร MAYBACH ด้านบนของกรอบกระจังหน้า รวมถึงโลโกดาวสามแฉกบริเวณฝากระโปรงหน้า สอดรับด้วยเส้นสีเงิน Hood Trim Strip กึ่งกลางฝากระโปรงเติมเต็มความหรูหรา
เติมเต็มความหรูหราและการใช้งานให้กับ Mercedes-Maybach S 580e Premium Plug-in Hybrid ด้วยล้ออัลลอยดีไซน์เฉพาะ 5-hole forged wheels with high gloss polished ceramic finish ขนาด 20 นิ้ว ทว่าเพิ่มขนาดยางด้านหลังเป็น 285/35 R20 รวมถึงตัดระบบเลี้ยวล้อหลัง Rear-Axle Steering ที่มีมาให้ในรุ่นนำเข้า
ด้านระบบส่องสว่าง ทันสมัยครบครันด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของเมอร์เซเดส ไล่เลียงจากไฟหน้า DIGITAL Light Technology ที่ให้ทั้งความสวยงามและการใช้งานที่ยอดเยี่ยม รวมถึงไฟท้าย Maybach Exclusive tail-light Animation ที่ทันสมัย และ Active Ambient Light LED สร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารได้ตามความต้องการ มาพร้อมไฟโลโก MM-Logo Projector ส่องลงพื้น บริเวณใต้กระจกมองข้าง
ภายในห้องโดยสารหรูหราด้วย Maybach Exclusive nappa leather ตอกย้ำความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารด้วย เบาะนั่งด้านหลังแบบ Rear Seat Comfort Package เทียบเท่าที่นั่งโดยสารชั้นเฟิร์สคลาส ที่วางแขนมาพร้อม MBUX Rear Tablet สำหรับควบคุมตัวรถ เติมเต็มด้วยโต๊ะทำงานแบบพับเก็บได้ ช่องชาร์จ USB Type C, ช่องชาร์จไฟ 12V, ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย, ช่องเก็บของเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า และที่วางแก้วน้ำแบบรักษาอุณหภูมิ ร้อน-เย็น
ใช้งานได้สะดวกสบายผ่านหน้าจอ OLED Media Display ระบบ Touchscreen ขนาด 12.8 นิ้ว มาพร้อมระบบปฏิบัติการ MBUX รองรับระบบสั่งงานด้วยมือ และระบบสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการ รวมถึงน้ำหอมสำหรับระบบปรับอากาศที่เข้ามาเติมเต็มการใช้งานเช่นเดียวกับที่มีมาให้ใน S-Class มาพร้อมน้ำหอมกลิ่นเฉพาะตัวของมายบัค
ล้ำสมัยด้วยระบบสั่งงานด้วยมือ Gesture Control สามารถสั่งเปิด-ปิดประตูด้านหลังที่ทำงานร่วมกับระบบ Blind Spot Assist รวมถึงหลังคาซันรูฟที่สามารควบคุมด้วยระบบดังกล่าวได้เช่นกัน นอกจากนี้เซ็นเซอร์ดังกล่าวยังสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวเพื่อช่วยให้สามารถคาดเซฟตี้เบลท์ได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยด้วยเข็มขัดนิรภัยที่มาพร้อมแอร์แบ็ก
เสริมการใช้งานด้วยโหมดการขับขี่ที่สามารถปรับได้ตามความต้องการ ประกอบด้วย Comfort, Sport, Individual ที่เราได้เห็นและใช้ในยานยนต์ค่ายดวงดาว ทว่า เมอร์เซเดส ได้เพิ่มโหมดมายบัค ซึ่งเป็นขั้นสุดของความสะดวกสบาย ที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์, ระบบช่วงล่าง, พวงมาลัย และระบบควบคุมการทรงตัว โดยคำนึงถึงความสบายของผู้โดยสารตอนหลังเป็นสำคัญ
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ แถวเรียง ขนาด 3.0 ลิตร 2,999 ซี.ซี. เทอร์โบ รีดพละกำลังสูงสุด 367 แรงม้า ที่ 5,500-6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-4,500 รอบ/นาที ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลัง 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร สร้างพละกำลังรวมสูงสุด 510 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งกำลังผ่านอัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic
ตอบสนองการใช้งานด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-ไออน ขนาด 28.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถทำความเร็วสูงสุดด้วยการวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วน 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง และวิ่งได้ระยะทางสูงสุดด้วยไฟฟ้าราว 100 กิโลเมตร รองรับการชาร์จกระแสสลับ AC สูงสุด 11 กิโลวัตต์ โดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที และรองรับการชาร์จกระแสตรง DC สูงสุด 60 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จราว 30 นาที
มาพร้อมราคาเริ่มต้น 9,880,000 บาท มีให้เลือกใช้ 5 สี ประกอบด้วย สีน้ำเงิน Nautic Blue, สีเขียว Emerald Green, สีดำ Obsidian Black, สีขาวด้าน MANUFAKTUR Diamond White Bright และสีทองด้าน MANUFAKTUR kalahari gold metallic ส่วนภายในห้องโดยสารเป็น Maybach Exclusive nappa leather สี Macchiato beige / bronze brown pearl