2566 ปีทองตลาดรถ “อีวี” ผู้บริโภคเพิ่มความเชื่อมั่น
ส.อ.ท. เผยแนวโน้มตลาดรถยนต์ไฟฟ้าปีหน้า โตต่อเนื่อง รับมาตรการอุดหนุนภาครัฐ รวมทั้งความเชื่อมั่นต่อรถอีวีมากขึ้น หลังค่ายรถอีวีระดับโลกเตรียมเข้ามาลงทุน คาดยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าหรือ อีวี ปี 2566 มียอดแตะ 35,000 คัน
ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในประเทศไทยมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากช่วงที่ผ่านมา บริษัทรถบางแห่งต้องชะลอการรับจองชั่วคราว ในขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2566 ประเมินว่ายังคงขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เห็นภาพการลงทุนผลิตอีวีแบตเตอรี่และสถานีอัดประจุไฟฟ้า
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานการส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าถึงเดือน พ.ย. 2565 อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 26 โครงการ จาก 17 บริษัท มูลค่าการลงทุนรวม 80,208 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินลงทุนหมุนเวียน) รวมจำนวนรถที่จะมีการผลิต 839,775 คัน โดยมีแบรนด์ที่ผลิตเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว 11 บริษัท ครอบคลุมทั้ง Hybrid Electric Vehicle (HEV), Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV), Battery Electric Vehicle (BEV) และ Battery Electric Bus
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มของตลาดรถอีวี ในปี 2566 จะเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าในปีหน้าจะมียอดจดทะเบียนใหม่รถยนต์ไฟฟ้าประเภทบีอีวี ในประเทศอยู่ที่ 25,000-35,000 คัน ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับยอดจดทะเบียนใหม่ในช่วง 11 เดือนปีนี้ (ม.ค.-พ.ย.) อยู่ที่ 18,135 คัน เทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 234.53% ด้วยปัจจัยสนับสุนจากมาตรการอุดหนุนผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐและมาตรการทางภาษีที่ยังมีผลในปี 2566
รวมทั้งการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานด้านสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ครอบคลุมมากขึ้นในหลายพื้นที่ และราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยยอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าประเภทบีอีวี ของเดือน พ.ย. 2565 อยู่ที่ 2,878 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 257%
นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังมีความเชื่อมั่นในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น หลังจากที่มีค่ายรถยนต์ระดับโลกตัดสินใจเข้ามาลงทุนสร้างฐานการผลิตและตั้งสำนักงานขายในประเทศ ซึ่งจะเริ่มมีการผลิตอีวีในไทยตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป อีกทั้งมีรายงานวิเคราะห์ว่า ราคารถอีวีใน 4 ปีข้างหน้า หรือปี 2569 จะเทียบเท่าหรือต่ำกว่ารถเครื่องยนต์สันดาปภายใน
“ทั้งนี้ ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นของแร่ลิเทียม ทำให้มีแนวโน้มว่าจะมีการผลิตแบตเตอรี่ด้วยโซเดียมไออนและแร่ธาตุอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมองว่าอาจเป็นโอกาสของไทยที่จะมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่โซเดียมในประเทศ โดยเป็นแร่ที่มีมากในภาคอีสาน และสนับสนุนให้อุตสาหกรรมอีวีในประเทศมีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งจากราคาวัตถุดิบของแร่ลิเทียมในการผลิตแบตเตอรี่ ค่าพลังงาน ค่าไฟฟ้า และค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น จะมีผลต่อการปรับขึ้นราคาขายรถยนต์ในปีหน้า รวมทั้งปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นปัจจัยกังวลและความเสี่ยงลำดับต้นๆ ที่ต้องเฝ้าจับตา