“โคโรลล่า ครอส” “ไฮบริด” เซอร์ไพรส์ จัดเต็มออปชัน 4 รุ่น ‘ราคาเดิม’

โตโยต้า สานต่อแนวทางเทคโนโลยี “ไฮบริด” ส่ง “โคโรลล่า ครอส ไมเนอร์เชนจ์” สร้างบิ๊กเซอร์ไพรส์ในตลาด C-SUV ยืนยันขายราคาเดิม เปิดตัว 4 รุ่นย่อย เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 และไฮบริด 1.8 ลิตร จัดเต็มออปชันและระบบความปลอดภัย ตั้งเป้าการขายที่ 1,500 คันต่อเดือน ส่งมอบได้ทันที
โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ถือเป็นบริษัทผลิตรถยนต์รายแรกในประเทศไทย ที่ได้นำรถยนต์ไฮบริดมาผลิตและจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2552 โดยตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะปลุกกระแสความนิยมในการเลือกใช้รถยนต์ไฮบริดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการบุกเบิกตลาดรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า
และจากการที่โตโยต้า ได้การดำเนินโครงการรถยนต์ไฮบริด ยิ่งทำให้สามารถพัฒนารถยนต์ไฮบริดที่แพร่หลายจากความนิยมของผู้ใช้งาน ผ่านตัวผลิตภัณฑ์ในรูปแบบรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ก่อนจะต่อยอดมายังรถยนต์อเนกประสงค์ หรือที่เรียกว่า รถเอสยูวี
สำหรับ โตโยต้า โคโรลล่า ครอส ถือเป็นรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นที่ 2 ต่อจาก โตโยต้า ซี-เอชอาร์ ได้ฤกษ์เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเดือนกรกฎาคม 2563 ด้วยความแปลกใหม่ในรูปทรงของตระกูลโคโรลล่า ได้รับการตอบรับที่ดีเกินกว่าที่คาดหมาย จนสามารถสร้างยอดจองได้ 4,182 คัน ภายในระยะเวลา 1 เดือน และในระยะเวลา 12 เดือน มียอดมากกว่า 2.25 หมื่นคัน จนทำให้โคโรลล่า ครอส สามารถครองตลาดในกลุ่มรถยนต์เอสยูวี
โดยทิศทางของตลาดรถยนต์เอสยูวีในปัจจุบันมีสัดส่วนที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากยอดขายในเซ็กเมนต์ดังกล่าวเมื่อปีที่ผ่านมา มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน หรือมียอดขายรวมที่ 114,487 คัน และมีส่วนแบ่งในตลาดอยู่ที่ 14-15%
ล่าสุด โตโยต้า ได้ขยับตัวในตลาดรถยนต์เอสยูวี ด้วยการเปิดตัว โคโรลล่า ครอส ไมเนอร์เชนจ์ ปรับดีไซน์ทั้งภายนอก-ภายใน เติมออปชันอุปกรณ์มาตรฐาน ชูความสดใหม่ แต่ยังคงขายในราคาเดิมที่เท่ากับรุ่นโฉมก่อนหน้านี้ โดยไม่มีการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใด
สำหรับ โตโยต้า โคโรลล่า ครอส โฉมปี 2024 มีการปรับดีไซน์ภายนอกใหม่ตามคอนเซปต์ Urban x Premium ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ใช้งานในเมือง ด้วยไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp มาพร้อมไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential ดูหรูหรา ล้ำสมัย และให้ทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยม และไฟท้ายดีไซน์ใหม่ กันชนหน้า และกระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Multi-dimensional ที่ทำให้ตัวรถดูกว้าง ทันสมัย และทรงพลัง ล้ออัลลอยสีทูโทนดีไซน์ใหม่
ภายในปรับให้มีความพรีเมียมมากยิ่งขึ้น ด้วยสีภายในแบบทูโทน มีทั้งหมด 2 สี คือสีดำ และสีใหม่ สี Dark Rose ให้ความรู้สึกหรูหรา เหนือระดับ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ทั้ง Frameless Panoramic Roof ขนาดใหญ่ พร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า ระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ พร้อมเบรกมือไฟฟ้า EPB มาตรวัดแบบ Full Digital พร้อมจอแสดงผลข้อมูลขับขี่ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ปรับการแสดงผลได้หลากหลาย หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย
โดยทุกรุ่นของโคโรลล่า ครอส HEV มีการติดตั้งระบบ Toyota Safety Sense ที่มาพร้อมกับ Dynamic Radar Cruise Control แบบ All-speed พร้อม Stop & Go ลดความเร็วจนถึงจุดหยุดนิ่ง และเร่งกลับสู่ระดับที่ตั้งไว้ เมื่อคันหน้าเคลื่อนตัว กล้องมองรอบคัน PVM ให้ภาพที่เคลียร์ชัด ที่มากับระบบ PKSB ช่วยเตือนขณะจอดรถพร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ ทำให้การจอดรถในทุกทิศทาง 360 องศา ทำได้ง่าย และปลอดภัย ติดตั้งระบบเตือนมุมอับสายตา BSM และช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย
ขณะสมรรถนะของโคโรลล่า ครอส มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร และเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร ให้อัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 23.3 กม.ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 98 กรัม/กิโลเมตร ในรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด โครงสร้างตัวถัง และช่วงล่างถูกพัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐานตัวถัง TNGA ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างนุ่มนวล และมั่นใจ
ในรุ่นใหม่ มีรุ่นย่อยให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย และมีสีภายนอกทั้งหมด 5 สี พร้อมกับสีใหม่อย่าง Cement Gray Metallic ที่หรูหรา และทันสมัย ซึ่งโคโรลล่า ครอส ใหม่ ทุกรุ่นที่เปิดตัว จะยังยืนยันราคาเดิม มีให้เลือกทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและเครื่องยนต์ไฮบริด เริ่มต้นที่ 999,000 – 1,254,000 บาท
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงแผนการตลาดว่า โคโรลล่า ครอส ใหม่ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยคอนเซปต์ “Complete your life ตอบ…ทุกความหมายชีวิต” โดยเรามีพรีเซ็นเตอร์ครอบครัวรุ่นใหม่ ซึ่งสะท้อนภาพลักษณ์ของกลุ่มลูกค้าโคโรลล่า ครอส ที่ใช้เวลาว่างทำกิจกรรมสันทนาการต่างๆ กับครอบครัว โดยเราวางเป้าหมายการขายไว้ที่ 1,500 คันต่อเดือน และจะเริ่มส่งมอบตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป