“เอ็มจี” โตจริง! “เอสยูวี” โดนใจ เสริมทัพรถอีวี สานต่อความสำเร็จ

เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) ยิ้มรับความสำเร็จ ด้วยอัตราเติบโต 9.5% หลังเก็บเกี่ยวยอดขายในปีที่ผ่านมา ไปได้ทั้งสิ้น 31,005 คัน นำทัพโดยรถยนต์อเนกประสงค์ที่ครองสัดส่วนเกินกว่าครึ่งของตัวเลขดังกล่าว ตอกย้ำความนิยมของผู้บริโภคในประเทศไทย ครองเจ้าตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ด้วยยอดขายสะสม 2,884 คัน พร้อมสานต่อความสำเร็จด้วย MG ZS EV รุ่นไมเนอร์เชนจ์
รถยนต์อเนกประสงค์ยังคงเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค ด้วยสมรรถนะการใช้งานที่ตอบโจทย์หลากหลายไลฟ์สไตล์ และเป็นเทรนด์ของยานยนต์ในยุคปัจจุบัน ซึ่งหลากหลายค่ายให้ความสำคัญและท้าชิงยอดขายด้วยรถรุ่นใหม่ๆ ที่ส่งลงทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ภายใต้รูปโฉมและความโดดเด่นที่แตกต่างกันไป
ค่ายเอ็มจี เป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ เห็นได้ชินตาบนท้องถนน ส่งผลโดยตรงต่อยอดขายและสร้างอัตราเติบโตให้กับเอ็มจีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงในปีที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน ซึ่ง MG ZS แท็กทีม MG HS เก็บเกี่ยวยอดขายไปได้ถึง 16,014 คัน จำแนกเป็น MG ZS และ MG ZS EV ทั้งสิ้น 11,245 คัน ส่วนอีก 4,769 คัน เป็นตัวเลขของ MG HS และ MG HS PHEV และมียอดจำหน่ายสะสมในประเทศไทยรวมแล้วกว่า 70,000 คัน
ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) เป็นหนึ่งในค่ายที่สามารถสร้างอัตราเติบโตสวนทางภาพรวมเศรษฐกิจที่โดนพิษโควิด-19 เล่นงานอย่างหนักในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยยอดขายรวมทั้งสิ้น 31,005 คัน เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 9.5% ที่ขายได้ทั้งสิ้น 28,316 คัน
นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ตลาดรถยนต์เอสยูวี ถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักของเอ็มจี เรามียอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ขึ้นเป็นผู้นำในกลุ่มดังกล่าวได้ในระยะเวลาเพียงไม่นาน ปัจจุบันเอ็มจีทำตลาดรถอเนกประสงค์ใน 2 กลุ่มหลัก คือ B-SUV ด้วย MG ZS สมาร์ทคาร์ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART และ MG HS ในตลาด C-SUV ที่โดดเด่นด้วยความสปอร์ตและหรูหรา พร้อมฟังก์ชันการใช้งานและระบบความปลอดภัยขั้นสูง”
อีกหนึ่งความน่าสนใจของค่ายเอ็มจี คือบทบาทผู้นำยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ซึ่งเป็นแบรนด์ต้นๆ ที่ขยับตัวรับกับเทรนด์ในช่วงเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ก้าวไปสู่รถยนต์ในยุคถัดไป หลังเปิดตัว MG ZS EV ในตลาดประเทศไทยในปี 2019 ตามด้วย MG EP ในปีถัดมา และเก็บยอดขายสะสมไปแล้วทั้งสิ้น 2,884 คัน เป็นยอดของ MG ZS EV จำนวน 2,101 คัน และ MG EP จำนวน 783 คัน
ล่าสุด เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) เตรียมเดินหน้าสานต่อความสำเร็จและทิศทางการเติบโตด้วยรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ พร้อมยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีความโดดเด่นยิ่งขึ้น ทั้งในด้านเทคโนโลยี ความทันสมัย และความคุ้มค่า ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดแข็งของเอ็มจี ตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่แตกต่างไป ล็อกเป้าครองเจ้าตลาดในเซ็กเมนต์ดังกล่าว
โดย MG ZS EV รุ่นไมเนอร์เชนจ์ เป็นหนึ่งในไลน์อัปรถใหม่ของเอ็มจีในปีนี้ วางคิวลงทำตลาดประเทศไทยในช่วงเดือนมีนาคม คาดว่าจะเป็นภายในบรรยากาศของงานบางกอก มอเตอร์โชว์ ที่จะช่วยกระตุ้นความน่าสนใจให้กับโปรดักต์ ทั้งยังเพิ่มโอกาสเก็บเกี่ยวยอดขาย หลังจากที่รถรุ่นดังกล่าวเผยโฉมที่เมืองผู้ดีไปเป็นที่เรียบร้อยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
สำหรับ MG ZS EV รุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีความแตกต่างที่เด่นชัดในเรื่องของรูปโฉมด้านหน้าที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ปรับกระจังหน้าเป็นชิ้นเดียวกับตัวรถตามแบบฉบับของรถอีวี รวมถึงขยับช่องชาร์จไฟฟ้าจากโลโก้ตรงกลางไปอยู่ด้านข้าง โคมไฟหน้าดีไซน์ใหม่ โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น เพิ่มความสปอร์ตด้วยชายกันชนล่างสีดำ แทนที่ของเดิมที่เป็นโครเมียม เติมเต็มด้วยล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่
ภายในตัวรถสปอร์ตยิ่งขึ้น ด้วยการเดินด้ายแดงบริเวณคอนโซลหน้า คอนโซลกลาง พวงมาลัย แผงข้างประตู และเบาะนั่ง รวมถึงหน้าปัดดิจิทัลขนาดใหญ่ และจอควบคุมกลาง ขนาด 10.1 นิ้ว ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับการใช้งานด้วยฟังก์ชันการควบคุมสั่งการรถจากระยะไกล และการชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย
ความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจอยู่ที่ขุมพลังที่ได้รับการอัปเกรดยิ่งขึ้น เพิ่มขนาดความจุของแบตเตอรี่จาก 44.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นเป็น 51 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในรุ่น Standard วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 430 กิโลเมตร และ 72.6 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในรุ่น Long Range วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 595 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟฟ้าเต็มหนึ่งครั้ง ขยับเพิ่มจากของเดิมที่วิ่งได้ระยะทาง 337 กิโลเมตร
ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า รีดพละกำลัง 156-176 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 174 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลาในการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ รองรับการชาร์จ 7 kW ใช้เวลา 10.5 ชั่วโมง ในรุ่น Standard และ 6 ชั่วโมง 40 นาที ในรุ่น Long Range และกระแสตรงรองรับการชาร์จ 50 kW ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 3 นาที ส่วนกระแสตรงรองรับการชาร์จ 100 kW ใช้เวลา 42 นาที