“หรู” ชน “หรู” “i5 – EQE” คนละหมัด เติมเต็มความต้องการตลาดพรีเมียม
ค่ายผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน แท็กทีมเพิ่มความร้อนแรงให้กับตลาดพรีเมียมคาร์ หลัง บีเอ็มดับเบิลยูเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคด้วย i5 eDrive40 M Sport และ i5 M60 xDrive ขณะที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ส่ง EQE 350 4MATIC SUV Electric Art และ EQE 350 4MATIC SUV AMG Line เติมความครบครันให้กับไลน์อัป สอดรับความต้องการของแฟนพรีเมียมแบรนด์ในประเทศไทย
อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่องในช่วงโค้งสุดท้ายของปี จากการขยับตัวของบรรดาค่ายผู้ผลิตที่เดินหน้าส่งรถรุ่นใหม่ๆ ลงสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคภายใต้สมรรถนะและความโดดเด่นที่แตกต่างกันไป ครบครันทั้งตลาดรถยนต์นั่ง รถกระบะ รวมถึงตลาดรถหรูที่มีความร้อนแรงเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
โดยเฉพาะ 2 แบรนด์หลักในบ้านเรา อย่าง บีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่เอาใจแฟนๆ ในประเทศไทยด้วยรถรุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ได้ต่อยอดความสำเร็จของตระกูลซีรี่ส์ 5 ด้วยบีเอ็มดับเบิลยู i5 มาพร้อม 2 รุ่นทางเลือก ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู i5 eDrive40 M Sport ที่พร้อมนำเสนอประสบการณ์การขับขี่อันยืดหยุ่น รองรับทุกสถานการณ์ และบีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive ที่อัดแน่นด้วยประสิทธิภาพการขับขี่ระดับแนวหน้า ผสานความแรงจากตระกูล M เข้ากับนวัตกรรมล้ำยุคจากตระกูล i เข้าด้วยกันอย่างลงตัว
มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 เป็นรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จอย่างเยี่ยมยอดมาตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษ และการเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู i5 รุ่นใหม่ในวันนี้ นับเป็นก้าวแรกของซีรี่ส์ 5 บนเส้นทางใหม่กับการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ตอบโจทย์ทั้งในด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความสนุกสนานในยามขับขี่ ตรงตามความต้องการของแฟนๆ ชาวไทยที่กำลังมองหารถยนต์ที่มอบทั้งความสงบ นุ่มสบายในยามเดินทาง และความสนุกในการขับขี่ โดยไม่พลาดทุกการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก”
บีเอ็มดับเบิลยู i5 ใหม่ มาพร้อมกับชุดแต่งสไตล์สปอร์ตที่เติมความเข้มในสไตล์ M แบบรอบคัน ไล่เรียงจากสปอยเลอร์หลังดีไซน์ M สีเดียวกับบอดี้ สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู i5 eDrive40 M Sport และสปอยเลอร์สีดำเงาแบบ high-gloss สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive พิเศษสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive กับชุดแต่งไฟหน้าสีดำ M Lights Shadow Line ส่วนล้อแม็กมาในสองขนาดและสองสไตล์ ได้แก่ ล้ออัลลอย BMW Individual aerodynamic ขนาด 21 นิ้ว สีดำ Jet Black แบบสลับสี สำหรับรุ่น i5 M60 xDrive และล้ออัลลอย M aerodynamic ขนาด 20 นิ้ว สีเทาเข้ม Black Grey แบบสลับสี
ด้านขุมพลังในตัวท็อป อย่าง บีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบพลังงานไฟฟ้า BMW xDrive Electric ด้วยชุดมอเตอร์ที่รีดพละกำลัง 601 แรงม้า แรงบิด 795 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง วิ่งได้ราว 466 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็มตามมาตรฐาน NEDC ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู i5 eDrive40 M Sport ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบขับเคลื่อนล้อหลัง พละกำลัง 340 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ทว่า สามารถวิ่งได้ระยะทางราว 501 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง
สำหรับตัวแทนจากค่ายบีเอ็มดับเบิลยู อย่าง บีเอ็มดับเบิลยู i5 eDrive40 M Sport มาพร้อมราคาจำหน่าย 4,999,000 บาท ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive เคาะราคาจำหน่ายที่ 5,599,000 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็กเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
ด้าน เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ขยับตัวด้วยการเติมเต็มไลน์อัป EQE SUV โดย มร.มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เราได้เพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า ด้วยการเปิดตัวรุ่นย่อยในตระกูล EQE SUV อีก 2 รุ่น รวมเป็นทั้งหมด 3 รุ่น นำเสนอความโดดเด่นตามแบบฉบับของ EQE SUV ชูจุดเด่นของรถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% ที่เหมาะกับการขับขี่ทุกรูปแบบ ทั้งในแบบออนโรด และออฟโรด รองรับกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์และความต้องการที่แตกต่าง”
โดย EQE SUV เป็นรถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% ที่เปิดตัวในประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่น ประกอบด้วย รุ่นเริ่มต้น อย่าง EQE 350 4MATIC SUV Electric Art ที่มาภายใต้ราคา 4,850,000 บาท รวมถึงรุ่นกลาง อย่าง EQE 350 4MATIC SUV AMG Line ราคา 5,300,000 บาท ที่เข้ามาเติมเต็มความต้องการร่วมกับรุ่นท็อป อย่าง EQE 350 4MATIC SUV AMG Dynamic ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้
สำหรับเอสยูวีทางเลือกจากค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ มาพร้อมขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ PSM มอบพละกำลังสูงสุด 292 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 765 นิวตันเมตร ภายใต้แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน แรงดัน 396 โวลต์ ความจุ 89 กิโลวัตต์-ชั่วโมง สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลกว่า 558 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรงสูงสุด 170 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ใช้เวลาชาร์จจาก 10-80% ในเวลา 32 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ รองรับสูงสุด 11 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100% ในระยะเวลา 9 ชั่วโมง 30 นาที
เชื่อได้ว่าจากการขยับตัวของ 2 แบรนด์หลัก จะสร้างแรงกระตุ้นให้กับผู้เล่นรายอื่นในตลาดรถหรู ได้ขยับตัวเสริมทัพด้วยรถรุ่นใหม่ในตลาดด้วยเช่นกัน สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของผู้บริโภคที่มีต่อพรีเมียมแบรนด์ ส่งผลให้แต่ละค่ายเดินหน้าเสริมทัพเพิ่มทางเลือกให้กับแฟนๆ ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเช่นกัน