สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. เปิดเผยมูลค่าส่งออกอุตสาหกรรมยานยนต์ 11 เดือน สูงกว่า 8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 38.99% ประเมินตัวเลขยอดขายรถยนต์ปีหน้าแตะ 8-8.5 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ห่วงตัวแปรการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการขาดแคลนชิปอาจเป็นตัวถ่วง

            นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ตัวเลขมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 86,713.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 26.53% โดยในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย. 2564 ) มีมูลค่าการส่งออกฯทั้งสิ้น 818,762.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 สูงถึง 38.99%

สำหรับการประเมินตัวเลขยอดผลิต ยอดจำหน่าย ในประเทศ ปี 2565 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 8-8.5 แสนคัน จากเป้าหมายการผลิตที่ 1.7-1.8 ล้านคัน โดยยังเป็นห่วงเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการขาดแคลนชิป ซึ่งที่ผ่านมา ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนชิ้นส่วนยานยนต์มีทั้งจีนและญี่ปุ่น ส่งผลให้ยอดขายลดลงในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา

ขณะยอดขายรถยนต์ในประเทศ เดือนพฤศจิกายน 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น  71,716 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 3.2% แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม  2564 ถึง 11.25% สูงสุดในรอบ 8 เดือน เพราะประชาชนเชื่อมั่นรายได้ในอนาคตมากขึ้น จากการผ่อนคลายการล็อกดาวน์เพิ่มขี้นเรื่อยๆ การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น คนละครึ่ง ยิ่งใช้ยิ่งได้ เราเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น รวมถึงการเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าสำคัญที่เติบโต ทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น

ส่วนยอดขายสะสมรถยนต์ในประเทศ 11 เดือน มียอดรวมทั้งสิ้น 668,520 คัน ลดลงจากปี 2563 ในระยะเวลาเดียวกัน 2.8% ด้านยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนพฤศจิกายน 2564 มีอยู่ทั้งสิ้น 165,353 คัน สูงสุดในรอบ 12 เดือน  ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา ถึง 4.12%  แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคมปีนี้ 7.35% เพราะผลิตเพื่อส่งออกถึง 90,112 คัน มีสัดส่วน 54.50% ของยอดผลิตรถยนต์ และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว 17.15% ส่วนจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในช่วง 11 เดือน มีจำนวนทั้งสิ้น 1,531,337 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 19.26%