Ramindhra UHU

Top Menu

  • หน้าหลัก

Main Menu

  • ข่าวรถยนต์
  • ข่าวมอเตอร์ไซค์
  • รามอินทรา
    • มิตรภาพผ่านเว็บไซต์
    • รามอินทรา ยกนิ้วให้
    • รามอินทรา จุ๊กจิ๊ก
    • รามอินทรา จอ จ่อ จ้อ
    • รามอินทรา แคะคน ค้นข่าว
  • เกียร์ 6
  • คนในกรอบ
  • คนในสังคม
  • โซ่หลุด
  • Test Drive
  • หน้าหลัก

Ramindhra UHU

Header Banner

Ramindhra UHU

  • ข่าวรถยนต์
  • ข่าวมอเตอร์ไซค์
  • รามอินทรา
    • มิตรภาพผ่านเว็บไซต์
    • รามอินทรา ยกนิ้วให้
    • รามอินทรา จุ๊กจิ๊ก
    • รามอินทรา จอ จ่อ จ้อ
    • รามอินทรา แคะคน ค้นข่าว
  • เกียร์ 6
  • คนในกรอบ
  • คนในสังคม
  • โซ่หลุด
  • Test Drive
  • ‘เอ็กซ์-เทรล’ ย้ำทาง เอสยูวี ‘อี-พาวเวอร์’ ขับเคลื่อนนวัตกรรมสู่มือผู้บริโภค

  • ‘เบนซ์’ เฉลยเลขลับ 333 ข้อเสนอพิเศษสุดแห่งปี

  • ‘GWM’ เตรียมเปิด WEY G9 ครั้งแรกกับขุมพลัง Hi4

  • ไทยฮอนด้าปูพรมมอบหมวกกันน็อก สร้างวัฒนธรรมขับขี่ปลอดภัยทั่วไทย

  • บีเอ็มดับเบิลยู ‘R 1300 RT’ ที่สุดแห่งมอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง

Test Drive
Home›Test Drive›ลองขับ By Oil Toyota Yaris Cross HEV Premium Luxury ครบเครื่องทั้งฟังก์ชันและความประหยัด

ลองขับ By Oil Toyota Yaris Cross HEV Premium Luxury ครบเครื่องทั้งฟังก์ชันและความประหยัด

By writer
August 25, 2025
264
0
Share:

Toyota Yaris Cross HEV ถือเป็นรถยนต์ที่ขายดีในตลาดรถยนต์ B-SUV ของไทย โดยเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด ที่มีจุดเด่นหลายอย่าง ทั้งความประหยัดน้ำมัน การออกแบบที่ทันสมัยและโดดเด่น รวมถึงออปชันและเทคโนโลยีที่ครบครัน ส่งผลให้รถยนต์รุ่นนี้มียอดขายที่แข็งแกร่งในตลาดรถยนต์เมืองไทยในปัจจุบัน

ฉบับนี้ “ยวดยาน” จะพาไปทำความรู้จักกับ Toyota Yaris Cross HEV ให้มากยิ่งขึ้น โดยรุ่นนี้ถูกพัฒนาให้เป็นรถยนต์ที่ผสมผสานการใช้งานแบบ URBAN x ADVENTURE ตอบสนองการขับขี่ในเมืองที่คล่องแคล่ว สนุกสนาน และสะดวกสบายด้วยฟังก์การใช้งานที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ไว้อย่างครบถ้วน พร้อมความโดดเด่นด้วยขุมพลังไฮบริดที่พัฒนาขึ้นใหม่ ให้ทั้งความแรง ผสานกับความประหยัดน้ำมันที่คุ้มค่า

รถยนต์รุ่นนี้ยังถูกผลิตภายใต้คุณภาพมาตรฐานระดับโลกของโตโยต้า ณ โรงงานประกอบรถยนต์โตโยต้าเกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา โดยโครงการผลิตรถรุ่นนี้มีส่วนช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ และภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยมากกว่า 3,000 ล้านบาท

สำหรับรุ่นที่เรานำมาทดสอบ คือ รุ่น Premium Luxury สนนราคาจำหน่าย 899,00 บาท รูปลักษณ์ทั้งภายนอก และภายในมาแบบจัดเต็มทั้งความสวยงาม ทันสมัย ออปชันหนักแน่นล้นคัน การดีไซน์มาในแบบ SOLID x DYNAMIC สะท้อนความแข็งแรง ทรงพลัง ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่พร้อมลุย เสริมความทันสมัยด้วยเส้นสายของตัวรถ สะท้อนภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่

ดีไซน์ภายนอกให้ความโดดเด่นสะดุดตาด้วยกระจังทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ลายภายในกระจังรูปตัวยู ทำจากพลาสติกสีดำเงา ไฟหน้า LED ไฟหรี่กลางวัน LED และไฟตัดหมอกทรงกลมก็ยังใช้หลอด LED ไฟท้ายแบบ Full LED กันชนหลอมรวมเป็นชิ้นเดียวกับชุดครอบกระจังหน้า เพื่อลดชิ้นส่วนเพิ่มเติม ช่องรับอากาศใต้กันชนขนาดใหญ่นำกระแสลมเย็นไประบายความร้อนให้กับแผงหม้อน้ำ ฝากระโปรงหน้ายกเหลี่ยมมุมสอดรับกับแนวของไฟหน้า เป็นงานออกแบบตามสมัยนิยมที่พบเห็นกันทั่วไป แก้มข้างมีพลาสติกกันกระแทกสีดำ ตัวรถสูงกำลังดี Ground Clearance 210 มม.ทำให้ชาว กทม.ลุยน้ำท่วมได้หายห่วงกว่ารถเก๋ง และสามารถขับท่องเที่ยวเส้นทางธรรมชาติ ขึ้นดอย ลงเขา ได้อย่างสบายใจ นอกจากนี้ในรุ่น Premium Luxury ยังได้หลังคาแบบ Panoramic แบบ Fixed Type พร้อมม่านปรับไฟฟ้า ให้มุมมองที่โปร่งสบาย และช่วยเสริมภาพลักษณ์ความหรูหราได้เป็นอย่างดี

การออกแบบภายในมาแบบ ROOMY x SPORTY เน้นภาพรวมห้องโดยสารกว้างขวาง สบายตา โดยใช้หลักเส้นนำสายตาที่เป็นเส้นตรงลากยาวบริเวณคอนโซลด้านหน้า เสริมความสปอร์ตด้วยการออกแบบที่นั่งฝั่งผู้ขับขี่ให้มีดีไซน์แบบ Driver-Oriented Cockpit เพิ่มความพรีเมียมด้วยการตกแต่งภายในด้วยวัสดุบุนุ่ม วัสดุหุ้มเบาะนั่ง พร้อมเทคโนโลยี “QUOLE MODULE ®” ช่วยลดการสะสมความร้อนบนผิวสัมผัส ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารปรับได้ 14 เฉดสี ปรับความสว่างได้ 4 ระดับ และแผงหน้าปัดเป็นจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว และคอนโซนกลางติดตั้งหน้าจอสัมผัส ขนาด 10 นิ้ว เชื่อมต่อ Apple CarPlay & Android Auto แบบไร้สาย และสามารถดูข้อมูลการขับขี่ได้อย่างครบถ้วน พร้อมติดตั้งกล้องมองภาพรอบคัน Panoramic View Monitor

ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ ที่น่าสนใจในรุ่นท็อปคันนี้ จัดมาให้ใช้งานกันอย่างครบถ้วน เรียกว่าไม่ต้องร้องหาอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เบรกมือไฟฟ้า EPB พร้อมระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมกรองฝุ่น PM 2.5, ช่องปรับอากาศตอนหลัง, ช่องต่อ USB 4 ตำแหน่ง (หน้า 2, หลัง 2), ลำโพง Pioneer 6 ตำแหน่ง, เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง, ประตูหลังไฟฟ้า พร้อม Kick-Activated และอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย ฯลฯ

ส่วนอุปกรณ์ความปลอดภัยก็จัดเต็ม ทั้งระบบความปลอดภัยพื้นฐาน (ABS / EBD / BA / VSC / TRC / HAC), ระบบเซ็นทรัลล็อก พร้อมระบบ Speed Auto Lock, ถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS 6 ตําแหน่ง, สัญญาณเตือนกะระยะ (หน้า 2 จุด–หลัง 2 จุด), กล้องบันทึกภาพด้านหน้า-หลัง, ระบบตรวจวัดลมยางอัตโนมัติ และระบบความปลอดภัยยุคใหม่ Toyota Safety Sense ก็จัดมาให้ครบครัน

ขุมพลังยังคงเป็นจุดเด่นของคันนี้ ด้วยเครื่องยนต์ไฮบริดรหัส 2NR-VEX ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i กำลังรวมในโหมดไฮบริด 111 แรงม้า แรงบิด 141 นิวตัน-เมตร รองรับน้ำมัน E20 ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ผสานแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนเป็นครั้งแรก ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ e-CVT เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อัตราการปล่อย CO2 ต่ำ ประหยัดน้ำมันสูงถึง 26.3 กม./ลิตร (อ้างอิงจาก Eco Sticker)

ในโหมดของการทดสอบ เราเน้นการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง โดยช่วงที่รถติดสลับหยุดนิ่งตามสภาพการจราจร ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. ถือว่าระบบไฮบริดมีการจัดสรรพลังงานได้ดีมาก ชาร์จไฟกลับได้เร็ว วิ่งด้วยไฟฟ้าเพียวๆ สลับกับเครื่องยนต์ได้ตลอดโดยอัตโนมัติ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงทำได้เกิน 20 กม./ลิตร สบายๆ แบบไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องใช้เทคนิคการขับขี่ประหยัดน้ำมันใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่ไม่กดคันเร่งหนัก เลี้ยงความเร็วตามเฉลี่ย 30-60 กม./ชม. เน้นการขับขี่ที่ปลอดภัยและใช้งานตามปกติ ส่วนการขับขี่นอกเมืองที่ต้องใช้ความเร็วบนเส้นทางกรุงเทพฯ-สุพรรบุรี ด้วยระยะทางกว่า 198 กม. รถรุ่นนี้ยังให้อัตราสิ้นเปลืองแปรผันตามความเร็วอยู่ที่ประมาณ 26-30 กม./ลิตร บางช่วงวิ่งเรื่อยๆ 80-90 กม./ชม.ทำได้ถึง 33 กม./ลิตร

ส่วนเรื่องความแรง ต้องบอกว่าไม่ได้เน้นจี๊ดจ๊าดจัดจ้านเอาใจคนเท้าหนัก รถรุ่นนี้เซ็ตความแรงแบบพอดีๆ อัตราเร่งช่วงออกตัว 0-100 กม./ชม. ทำได้ประมาณ 11 วินาที และการเร่งแซงก็หายห่วง 90-120 กม./ชม. ทำได้ฉับไวในระยะที่ปลอดภัย การควบคุมรถผ่านพวงมาลัยไฟฟ้า Electric Power Steering (EPS) รัศมีวงเลี้ยวแคบดี 5.2 เมตร วิ่งในเมืองน้ำหนักเบาสบายให้ความคล่องตัวดี แต่ช่วงใช้ความเร็วสูงนอกเมืองจะรู้สึกว่ามีระยะฟรีพอสมควร ไม่ได้เฉียบคม ฉับไวเหมือนรุ่นพี่ Corolla Cross จึงเหมาะกับการขับขี่สบายๆ ในเมือง หรือใช้งานปกติ มากกว่าจะเอาไปซิ่ง มุดไปมุดมา

ระบบช่วงล่างด้านหน้า McPherson Strut ด้านหลังกึ่งอิสระ Torsion Beam เน้นการขับขี่ตามความเร็วที่เหมาะสม ให้ความนุ่ม นั่งสบาย ไม่แข็ง ไม่ดีด ไม่เด้ง ซึ่งการเซ็ตพวงมาลัยโดยรวมที่ออกมาแบบนี้น่าจะเป็นความตั้งใจของโตโยต้า ที่ทำออกมาเอาใจคนรักรถที่เน้นขับสบาย นุ่มนวล ควบคุมง่าย เป็นรถที่ใช้งานได้สะดวก และสบายใจในทุกๆ วันที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย

Previous Article

ข้อเสนอที่ดีที่สุดจาก “เกรท วอลล์” เป็นเจ้าของ “เจ้าเหมียวไฟฟ้า”

Next Article

คนในสังคม ฉบับ 1,145

0
Shares
  • 0
  • +
  • 0

Related articles More from author

  • Test Drive

    ส่องกล้อง By The Great FORD RANGER WILDTRAK 2.0L Bi-Turbo 4×4 10AT สมรรถนะโดนเด่น “เบสต์ อิน คลาส”

    September 26, 2022
    By writer
  • Test Drive

    ส่องกล้อง By The Great Mercedes-AMG G 63 G manufaktur คลาสสิกเอสยูวี โดดเด่น ดุดัน

    March 5, 2024
    By writer
  • Test Drive

    ส่องกล้อง By Oil MAZDA CX-5 ราคาคุ้มค่า เหนือกว่าที่สมรรถนะ

    September 29, 2025
    By writer
  • Test Drive

    MITSUBISHI TRITON MEGA CAB PRO 6 MT กระบะแค็บตัวเตี้ย เกียร์กระปุก

    June 22, 2025
    By writer
  • Test Drive

    ลองขับ By OIL VOLVO EX30 รถไฟฟ้ารักษ์โลก ตอบโจทย์คนใช้อีวี

    April 2, 2024
    By writer
  • Test Drive

    ส่องกล้อง By The Great LEXUS NX450h+ F SPORT หรู แรง เอาใจแฟนสายพันธุ์สปอร์ต

    May 15, 2022
    By writer

Copyright © ramindhra-uhu.com. All rights reserved.