“มาสด้า” เดินแรง ล็อกเป้าปี 65 โต 10%

มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) เผยยอดขายปี 2564 เก็บเกี่ยวไปได้ทั้งสิ้น 35,385 คัน ลดลง 9.8% จากปีก่อนหน้า เป็นไปตามภาพรวมทางเศรษฐกิจที่โดนวิกฤติโควิด-19 เล่นงาน และยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในปีนี้ พร้อมเดินหน้าเสริมทัพด้วยรถรุ่นใหม่ๆ ในไตรมาสแรกของปี โดยคาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์จะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% วางเป้าเก็บยอดขายมากกว่า 40,000 คัน เติบโตขึ้น 10% ครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 5%
อุตสาหกรรรมรถยนต์ในปีที่ผ่านมา ยังมีการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส 2019 เป็นตัวแปรและตัวกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจของแต่ละค่ายแต่ละแบรนด์ ที่ต้องปรับกลยุทธ์รับความไม่แน่นอนของภาพรวมภายในประเทศ โดยเฉพาะการขยับตัวของอีเวนต์หลักๆ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจด้านยานยนต์ในบ้านเรา ที่ดูเหมือนจะกระเตื้องขึ้นเป็นลำดับในช่วงท้ายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายๆ ค่ายเก็บเกี่ยวยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำ มีเติบโตและลดลงคละเคล้ากันไป
โดยมาสด้า เป็นหนึ่งในค่ายที่มีตัวเลขการจำหน่ายลดลงในปีที่ผ่านมา แม้จะเก็บเกี่ยวยอดขายไปได้ทั้งสิ้น 35,385 คัน ทว่า ลดลงจากปีก่อนหน้า 9.8% ซึ่งมาสด้าขายได้กว่า 40,000 คัน อย่างไรก็ดี ยังได้เห็นทิศทางที่ยอดเยี่ยมของรถในตระกูล CX ที่เป็นตัวขายของมาสด้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เราได้เห็นการเสริมทัพด้วยรถรุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมตลาดทุกเซ็กเมนต์ในกลุ่มเอสยูวี
สำหรับยอดขายในปีที่ผ่านมา จำแนกเป็นรถนั่ง อย่าง มาสด้า2 จำนวน 17,813 คัน และ มาสด้า3 จำนวน 1,982 คัน ด้านรถยนต์อเนกประสงค์ อย่าง มาสด้า CX-3 ขายได้ 4,747 คัน, มาสด้า CX-30 จำนวน 7,497 คัน, มาสด้า CX-5 จำนวน 930 คัน และมาสด้า CX-8 จำนวน 1,051 คัน ส่วนรถกระบะ มาสด้า BT-50 ขายได้ทั้งสิ้น 1,361 คัน และสปอร์ตโรดสเตอร์ มาสด้า MX-5 ขายได้ 4 คัน
นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ปีที่ผ่านมาท้าทายอย่างยิ่งต่อธุรกิจรถยนต์ เนื่องจากปัจจัยภายนอกและภายในที่เข้ามากระทบ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี รวมถึงการขาดแคลนชิ้นส่วนประกอบเซมิคอนดักเตอร์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก จึงทำให้อุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยต้องชะลอตัวลง”
“แต่ด้วยมาตรการช่วยเหลือต่างๆ จากทางภาครัฐ และความร่วมแรงร่วมใจกันของพี่น้องชาวไทย จึงทำให้ธุรกิจต่างๆ เริ่มค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นและเดินหน้าต่อไปได้ในช่วงปลายปี ซึ่งทำให้ตัวเลขการจำหน่ายรถยนต์ที่เกิดขึ้น ลดลงเล็กน้อยตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี ยังสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนและตลาดเกิดใหม่ และรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ได้ที่ 4.6%”
สำหรับทิศทางของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยในปี 2565 มาสด้าคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์จะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% ขึ้นอยู่กับมาตรการส่งเสริมจากทางภาครัฐ เช่น การส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว และราคาสินค้าการเกษตร ทั้งยังคงต้องจับตาการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในระลอกใหม่ ว่าจะส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใดต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้
โดยคาดว่าตลาดรถยนต์จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังจากไตรมาสแรกของปีนี้ เห็นได้จากยอดขายเดือนธันวาคมที่เติบโตขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความต้องการของลูกค้าต่อการซื้อรถยนต์ว่ายังคงมีอยู่ ซึ่งมาสด้าได้เดินหน้าสานต่อทิศทางที่ดี ด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่หวังกระตุ้นตลาดตั้งแต่ต้นปี เริ่มจาก CX-3 ตามด้วย Mazda2 และเตรียมที่จะแนะนำมาสด้า CX-30 และ Mazda3 ในไตรมาสแรกนี้ รวมถึงยกระดับมาตรฐานและคุณภาพด้านการบริการหลังการขายให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ตั้งเป้ายอดขายปีนี้มากกว่า 40,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 10% และครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 5%
“ด้านกลยุทธ์สำหรับปี 2565 มาสด้าจะยังคงเดินหน้าเต็มกำลัง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและเตรียมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่กำลังจะกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง โดยเฉพาะการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดรถใช้แล้วผ่านโครงการ CPO หรือ Mazda Certified Pre-Owned ที่ผ่านมาตรฐานและการรับประกันคุณภาพจากมาสด้า ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าหมายเปิด 9 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์”
“ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการตลาด การขายและการบริการ รวมถึงการขยายเครือข่ายผู้จำหน่าย เพื่อให้พร้อมรองรับต่อปริมาณลูกค้ามาสด้าที่เพิ่มขึ้น และสอดรับกับพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ มาสด้าจะยังคงเน้นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน” นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส ทิ้งท้าย