“มาสด้า” เชื่อตลาดโต เสริมแกร่ง สร้างโอกาส
มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เดินหน้ายกระดับด้านงานบริการ สร้างโอกาสและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ สอดรับทิศทางของตลาดที่คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นไปที่ 800,000 คันในปีนี้ พร้อมนำเสนอยานยนต์พลังงานทางเลือกที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีที่ผ่านมา ปิดตลาดด้วยตัวเลขที่ต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เนื่องด้วยปัจจัยด้านลบที่ส่งผลโดยตรงต่อการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคภายในประเทศ รวมถึงการชะลอการลงทุนจากภาคเอกชนที่ยังต้องการความชัดเจนในเรื่องนโยบายต่างๆ จากภาครัฐบาล ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ รวมถึงการขยายตัวของตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่เข้ามาชิงสัดส่วนในตลาดจากรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน
รวมถึงค่ายมาสด้า ที่ได้รับผลกระทบจากทิศทางดังกล่าวด้วยเช่นกัน โดยมียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 16,544 คัน จำแนกเป็น รถยนต์นั่งจำนวน 8,718 คัน ประกอบด้วย มาสด้า2 จำนวน 7,834 คัน และมาสด้า3 จำนวน 884 คัน ขณะที่รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวี มีจำนวนทั้งสิ้น 6,981 คัน แบ่งออกเป็น มาสด้า CX-30 จำนวน 3,254 คัน, มาสด้า CX-3 จำนวน 2,389 คัน, มาสด้า CX-8 จำนวน 999 คัน และมาสด้า CX-5 จำนวน 340 คัน
ขณะที่รถปิกอัพ มาสด้า บีที-50 สามารถขายได้ทั้งสิ้น 834 คัน ส่วนรถสปอร์ตเปิดประทุนประจำค่ายอย่าง มาสด้า MX-5 มีจำนวนทั้งสิ้น 10 คัน ด้านรถยนต์นั่งสุดหรู มาสด้า6 รุ่นพิเศษ ซึ่งถูกปล่อยออกมาในวาระฉลองครบรอบ 20 ปี ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก มีลูกค้าจองสิทธิ์เข้ามาแล้วกว่า 74 คัน จากโควตาที่มีจำนวน 100 คัน
ล่าสุด มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ได้วางยุทธศาสตร์รับปีมังกรทอง สร้างรากฐานให้มั่นคง ปั้นแบรนด์ให้แข็งแกร่ง พัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เต็มรูปแบบ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์ ยกระดับการบริการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของแบรนด์มาสด้าในประเทศไทย ควบคู่กับบริหารคุณค่าแบรนด์ให้ยั่งยืน หลังเติบโตทั้งด้านยอดขายและการเพิ่มฐานลูกค้าที่เข้ารับบริการที่ศูนย์บริการทั่วประเทศ
โดย มร.ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แม้ว่ายอดขายมาสด้าจะปรับตัวลดลง แต่ในปีที่ผ่านมา มาสด้ายังประสบความสำเร็จในด้านการบริการหลังการขาย อันเป็นผลพวงจากการดำเนินธุรกิจภายใต้ Retention Business Model โดยมีลูกค้ากลับเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง และทำให้ผู้จำหน่ายมีผลกำไร แม้จะอยู่ในสถาวะตลาดชะลอตัว”
“มาสด้ายังสามารถรักษาสัดส่วนการจำหน่ายอะไหล่ไว้ได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยมีการจัดเก็บสต็อกอะไหล่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมกับปริมาณลูกค้าที่จะเข้ามารับบริการและรองรับต่อความต้องการในอนาคต จึงสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ด้วยบริการที่สะดวก รวดเร็ว ทำให้แบรนด์มาสด้าในประเทศไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงความสำเร็จจากแผนการดำเนินงานภายใต้โมเดลธุรกิจดังกล่าวได้เป็นอย่างดี”
โดยมองว่าภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย แนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นแรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาคึกคักอย่างชัดเจน กำลังซื้อของผู้บริโภคมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น การเข้ามาลงทุนจากนักธุรกิจต่างประเทศ ผลักดันให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และคาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์โดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 750,000-800,000 คัน ซึ่งมาสด้าหวังที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นเช่นกัน
เนื่องจากฐานลูกค้าที่เข้ามารับบริการที่ศูนย์บริการเพิ่มขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายรถใหม่มากขึ้นพร้อมเติมเต็มความต้องการของลูกค้า เติมพลังให้กับผู้คน ผ่านประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เดินหน้าตามพันธกิจสู่ความยั่งยืน Sustainable Zoom-Zoom 2030 ด้วยการวางรากฐานสู่การนำเสนอรูปแบบพลังงานทางเลือกที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้สถานการณ์และกรอบเวลาที่เหมาะสม เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์