“ฟอร์จูนเนอร์” โชว์เหนือ “คอมมานเดอร์” ลิมิเต็ด ชูความสปอร์ต ครบครัน เคาะราคา 1.505 ล้าน

โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ตอกย้ำบทบาทผู้นำรถอเนกประสงค์พื้นฐานรถกระบะ (พีพีวี) ด้วย โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ คอมมานเดอร์ อัปเกรดรูปโฉมภายนอกด้วยชุดแต่งสไตล์สปอร์ต ยกระดับการใช้งานด้วยเทคโนโลยีเสริม และระบบช่วงล่างที่ได้รับการปรับจูนเฉพาะรุ่น ชูสมรรถนะการใช้งานที่โดดเด่นยิ่งขึ้นในพิกัด 2.4 ลิตร เคาะราคาขาย 1,505,000 บาท จำนวนจำกัด
ตลาดรถยนต์อเนกประสงค์เป็นเซ็กเมนต์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ด้วยทางเลือกที่หลากหลายในปัจจุบัน ทั้งในเรื่องของรูปร่างหน้าตารวมถึงสมรรถนะที่ตอบโจทย์การใช้งานในรูปแบบที่แตกต่างกันไป โดยในบ้านเรามีให้เลือกครบครันทั้ง เอสยูวี, เอ็มพีวี, พีพีวี รวมถึงครอสโอเวอร์ ซึ่งแต่ละค่ายต่างเสริมทัพเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะในกลุ่มรถอเนกประสงค์ที่มีพื้นฐานจากรถกระบะ หรือพีพีวี นั้น เป็นหนึ่งในทางเลือกอันดับต้นๆ ของผู้บริโภคในบ้านเรา ด้วยความสมบุกสมบันภายใต้ช่วงล่างของรถกระบะ บวกกับความอเนกประสงค์ภายในห้องโดยสาร ที่สร้างความโดดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
สำหรับ ฟอร์จูนเนอร์ คือรถพีพีวีจากค่ายโตโยต้า ถูกส่งลงทำตลาดในประเทศไทยนับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา และมาพร้อมการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รถรุ่นดังกล่าวเป็นหนึ่งในผู่เล่นหลัก และสร้างการเติบโตให้กับแบรนด์โตโยต้า และครองตำแหน่งผู้นำในเซ็กเมนต์ดังกล่าว และมียอดจำหน่ายสะสมกว่า 390,000 คันในประเทศไทย
ล่าสุด โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวรถรุ่นล่าสุดอย่าง โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ คอมมานเดอร์ ที่ได้รับการอัปเกรดทั้งเรื่องรูปร่างหน้าตารวมถึงสมรรถนะการใช้งานที่ขยับขึ้นไปอีกขั้น เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง จีอาร์ สปอร์ต ทว่าเป็นการขยับตัวในพิกัดเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ซึ่งเป็นรุ่นที่รองมาจาก ฟอร์จูนเนอร์ เลเจนเดอร์
โดย ฟอร์จูนเนอร์ คอมมานเดอร์ สร้างความเป็นตัวตนด้วยรูปโฉมภายนอกที่ได้รับการอัปเกรดด้วยชุดแต่ง ไล่เลียงจาก กระจังหน้าสีดำเงา ที่สอดรับกับชุดตกแต่งกันชนหน้าได้อย่างลงตัว เติมความสปอร์ตด้วยหลังคาสีดำแบบทูโทน
รวมถึงกระจกมองข้างสีดำเงา, บันไดข้างสีดำเงา และคิ้วตกแต่งฝาท้ายสีดำเงา ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เติมเต็มด้วยล้ออัลลอยทูโทนปัดเงาขนาด 20 นิ้ว
ส่วนภายในตัวรถขยับตัวเพียงเล็กน้อยด้วยการใช้โทนสีดำสลับแดง เพิ่มความสปอร์ต เบาะหนังทูโทนสร้างความโดดเด่นด้วยวัสดุเดินด้ายตกแต่งสีแดง ทว่าได้ยกระดับความสะดวกสบายและเพิ่มความปลอดภัยด้วย กล้องมองรอบคัน (Panoramic View Monitor) รวมถึงระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA (Rear Cross Traffic Alert) และระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor) ที่เข้ามาเติมเต็มตามยุคสมัย
สมรรถนะการใช้งานโดดเด่นขึ้นไปอีกขั้นด้วยระบบช่วงล่างที่ได้รับการปรับจูนพิเศษทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมรถ ด้านหน้าเป็นอิสระแบบปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลัง เป็นแบบ 4-Link พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง มาพร้อมโช้คอัพหน้า-หลัง ที่ได้รับการปรับจูนพิเศษ เฉพาะรุ่นคอมมานเดอร์ ตอบสนองการขับขี่ได้มั่นใจและสนุกสนานยิ่งขึ้น รองรับแรงสั่นสะเทือนในทุกสภาพถนน
ด้านขุมพลังยังคงขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 GD-FTV (High) 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC VN Turbo และ Intercooler ขนาด 2,393 ซี.ซี. รีดพละกำลัง 150 แรงม้า สร้างแรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ตอบสนองการใช้งานในช่วงรอบที่กว้าง ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift
โดยสมรรถนะที่อัปเกรดขึ้นไปอีกขั้นของ ฟอร์จูนเนอร์ คอมมานเดอร์ จ่ายเพิ่มจากรุ่นปกติ 39,000 บาท เคาะราคาจำหน่ายที่ 1,505,000 บาท มาภายใต้สีทูโทนจากโรงงาน มีให้เลือกใช้ 2 สี ได้แก่ Emotional Red Black Top และ White Pearl CS Black Top จำหน่ายจำนวนจำกัดเพียง 1,000 คัน
สำหรับ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เจเนอเรชันล่าสุด เป็นผลงานการออกแบบและพัฒนาของทีมวิศวกรชาวไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจาก โตโยต้า มอเตอร์ คอร์เปอเรชั่น ประเทศไทยญี่ปุ่น ที่เชื่อมั่นคุณภาพการผลิตและศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยแต่งตั้ง ดร.จุฬชาติ จงอยู่สุข หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เป็นผู้ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ รวมถึง โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ด้วยเช่นกัน
โดยในปีที่ผ่านมายอดขายรวมของตลาดรถยนต์อเนกประสงค์พื้นฐานรถกระบะ (พีพีวี) ปิดตัวเลขที่ 52,024 คัน และยังคงเป็น โตโยต้า ที่ครองเจ้าตลาด ด้วยยอดขาย 22,862 คัน รองลงมาได้แก่ อีซูซุ จำนวน 16,439 คัน ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ มิตซูบิชิ จำนวน 6,619 คัน ถัดไปเป็น ฟอร์ด และนิสสัน ในอันดับ 4 และ 5 ด้วยยอดขาย 5,025 คัน และ 1,079 คัน ตามลำดับ