‘บีวายดี’ ยิ้มรับการเติบโต ปีนี้มั่นใจขายทะลุ 4 หมื่นคัน

บีวายดี ยิ้มรับกระแสตอบรับผู้บริโภคชาวไทยที่ให้ความเชื่อมั่น พร้อมเผยแผนกลยุทธ์ปีหน้า ต่อยอดการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยด้วยการเปิดศูนย์ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วยรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ มั่นใจปีนี้สามารถทำยอดขายได้ถึง 40,000 คัน ครองส่วนแบ่งในตลาดอีวีได้มากถึง 33%
กลยุทธ์การทำตลาดของ บีวายดี ในประเทศไทย ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สอดคล้องกับกระแสนิยมที่ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสนใจในนวัตกรรมและเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ บีวายดี ซึ่งสะท้อนได้จากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย อย่าง BYD ATTO 3 ก่อนจะสานต่อความนิยมไปสู่ BYD DOLPHIN และล่าสุดกับรถยนต์ซีดานไฟฟ้าอย่าง BYD SEAL
นายวิศิษฎ์ พิทยะวิริยากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า “บีวายดี” (BYD) อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดเผยว่า การทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของบีวายดีในประเทศไทย ถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาด โดยในปีนี้มั่นใจว่าจะทำยอดขายได้ถึง 40,000 คัน กินส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% ถึง 33% ขณะที่มีส่วนแบ่งตลาดรถยนต์รวมทุกประเภทถึง 8% สำหรับโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการของบีวายดีจนถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีถึง 100 แห่ง และตั้งเป้าว่าภายในปีหน้าจะมีเพิ่มเป็น 200 แห่ง
“ความสำเร็จของรถยนต์ไฟฟ้าบีวายดีในประเทศไทย สะท้อนว่า สังคมไทยให้การตอบรับเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าอย่างมากจนสร้างกระแสหรือเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าในไทย ทั้งนี้เพื่อรองรับจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่มั่นใจว่าจะเพิ่มขึ้นอีกมากในปีหน้า บริษัทจึงมีแผนจะเปิดศูนย์ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ย่อมๆ ซึ่งจะมีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อยประมาณ 10 เครื่อง พร้อมร้านค้าต่างๆ เช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านสะดวกซัก เป็นต้น”
นายวิศิษฎ์ กล่าวว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่รถยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะมาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า 3.0 ของรัฐบาล โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแบตเตอรี่ต่ำกว่า 30 kWh จะได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาล 70,000 บาท และหากมีแบตเตอรี่เกินกว่า 30 kWh จะได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาล 150,000 บาท ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าต่ำลง เพื่อให้ประชาชนสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ดี ล่าสุด รัฐบาลได้ออกมาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า EV 3.5 ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 2567 กำหนดว่ารถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาทในปีที่ 1 ส่วนปีที่ 2 ได้รับเงินอุดหนุน 75,000 บาท และปีที่ 3 ได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาท ในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาท ในปีที่ 1 ส่วนปีที่ 2 ได้รับเงินอุดหนุน 35,000 บาท และปีที่ 3 ได้รับเงินอุดหนุน 25,000 บาท จะมีผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าพอสมควร เพราะทำให้ราคาต้องขยับขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 50 kWh เนื่องจากเงินอุดหนุนลดลงอย่างมาก.