“โตโยต้า” ยึดแชมป์ครึ่งปี 67 ฟุ้ง “ไฮบริด” โตขึ้น 28.3%
โตโยต้าเปิดเผยภาพรวมตลาดรถยนต์หลังผ่านครึ่งทางของปี 2567 โดยยอดจำหน่ายรถยนต์รวมทั้งสิ้น 308,027 คัน ลดลง 24.2% เมื่อที่กับปีที่แล้ว พร้อมย้ำชัด แม้เศรษฐกิจซบเซา แต่โตโยต้ายังครองแชมป์ยอดขายรถอันดับหนึ่งของไทย โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ไฮบริดที่เติบโตกว่า 28.3%
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ยอดขายรถยนต์ครึ่งปีแรก 2567 (ม.ค.-มิ.ย. 2567) ประเทศไทยมียอดขายรถยนต์รวม 308,027 คัน ลดลง 24.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่ง มียอดขายรวม 119,326 คัน ลดลง 19.4% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ มียอดขายรวม 188,701 คัน ลดลง 26.9% รถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขาย 108,437 คัน ลดลงถึง 40.7%
ส่วนรถยนต์ไฟฟ้า หรือเอ็กซ์อีวี มียอดขายทั้งหมด 108,720 คัน คิดเป็นสัดส่วน 35.3% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด เติบโตขึ้น 35.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่ยอดขายรถยนต์เอชอีวี เติบโตขึ้น 68.7% ด้วยยอดขาย 67,346 คัน ส่วนยอดขายรถยนต์บีอีวี อยู่ที่ 36,593 คัน เติบโตขึ้น 9.4%
นายศุภกร กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมครึ่งปีแรก โตโยต้ามียอดขายรถยนต์รวมที่ 116,278 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดถึง 37.7% โดยเฉพาะตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pickup + รถกระบะดัดแปลง PPV) มียอดขายรวมอยู่ที่ 49,689 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์เซ็กเมนต์นี้ถึง 45.8% ส่วนยอดขายรถยนต์นั่งอยู่ที่ 33,264 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 27.9%
ขณะเดียวกัน โตโยต้ามียอดขายรถยนต์ไฮบริดถึง 30,714 คัน หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 28.3% ของยอดจำหน่ายรถยนต์ในกลุ่มตลาดเอ็กซ์อีวีทั้งหมด ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในรถยนต์โตโยต้าของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และเราต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านอีกครั้ง สำหรับทุกความไว้วางใจที่มีให้กับโตโยต้า
ก่อนหน้านี้ มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดการคาดการณ์ยอดขายของตลาดรถยนต์ในประเทศไทยปี 2567 ลงเหลือ 7.3 แสนคัน จากเดิมที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ 7.8-8 แสนคัน หรือลดลงราว 7-9%
ทั้งนี้ โตโยต้าได้ปรับลดเป้าหมายยอดขายของบริษัทในปี 2567 ลง เหลือ 2.5 แสนคัน จากต้นปีที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ 2.77 แสนคัน แต่ยังคาดหวังว่าจะรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดไว้ที่ 34% ของตลาดรวมรถยนต์ในประเทศไทย ขณะที่การมีผู้ผลิตรถยนต์รายใหม่สัญชาติจีนเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้ส่งผลให้ตลาดเติบโตขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งมองว่าในช่วงไตรมาส 2-3/2567 อาจจะเริ่มมองเห็นปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ชัดเจน