‘เอทีฟ’ ร้อนแรง เดือนเดียว 21,350 คัน ล็อกคิวเติม 1 รุ่นพิเศษ ปลายปี
ด้วยคุณภาพของ ยาริส เอทีฟ โมเดลเชนจ์ รถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดจากค่ายยักษ์ใหญ่ ค่ายโตโยต้า ที่มอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้าคนไทยอย่างสูงสุด ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และราคาที่เอื้อมถึงง่าย สามารถครองใจผู้บริโภคภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน กวาดยอดจองทะลุกว่า 21,350 คัน หลังการเปิดตัว ชี้ปลายปีนี้ วางแพลนเปิดตัว เอทีฟ รุ่นตกแต่งพิเศษ “โมเดลลิสต้า” ต่อยอดความสำเร็จเพิ่มเติม
ในปี 2560 โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้ส่งรถยนต์อีโคคาร์ 4 ประตู วางจำหน่ายออกสู่ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยวางเป้าหมายเพื่อเจาะลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการใช้รถยยนต์ 4 ประตูมากกว่า 5 ประตู โดยวางคอนเซปต์ในการออกแบบภายใต้แนวคิด “Life Activated…เริ่มต้นสู่โลกที่กว้างกว่า” ทำให้มองเห็นถึงจุดเด่นของ ยาริส เอทีฟ ได้อย่างชัดเจน โดยโตโยต้าแบ่งจุดเด่นออกเป็น 4 จุด ทั้งในเรื่องของดีไซน์ (Design) ทั้งภายนอกที่ดูสปอร์ต, สิ่งอำนวยความสะดวก (Comfort), สมรรถนะ (Performance) ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 1,200 ซี.ซี. รองรับน้ำมัน E20 และประหยัดพลังงานแบบอีโคคาร์ และความปลอดภัย (Safety) ที่เรียกว่าขนระบบความปลอดภัยในรถยนต์ซีดานรุ่นใหญ่ลงมาใส่ไว้เต็มพิกัด
และจากการเปิดตัวครั้งแรกในปี 2560 ส่งผลให้ ยาริส เอทีฟ ประสบความสำเร็จในตลาดเซ็กเมนต์ ซับคอมแพ็ค ซีดาน ด้วยยอดขายรวม 133,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน โดย โตโยต้า ยาริส เอทีฟ ถือได้ว่าเป็นรถรุ่นยนต์ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้าชาวไทย
ไม่เพียงเท่านี้ โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) ยังไม่หยุดยั้งในการคิดพัฒนารถยนต์รุ่นนี้ เพื่อต่อยอดความสำเร็จ บนพื้นฐานรถยนต์นั่ง 4 ประตู ยาริส เอทีฟ โดยได้ทำการสำรวจเจาะลึกถึงพฤติกรรม และความต้องการของลูกค้าชาวไทย ที่มีความแตกต่าง
“จากข้อมูลที่ได้รับ ทำให้โตโยต้า ตัดสินใจพัฒนารถยนต์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการอันหลากหลายของคนไทย และสอดรับกับวิถีชีวิต โดยไม่จำกัดเพศและอาชีพ นั่นหมายความว่า โตโยต้า ยาริส เอทีฟ ใหม่ จะเป็นรถยนต์ที่สามารถเรียกได้เต็มปากว่าเป็นรถยนต์ที่เป็นที่ชื่นชอบของคนไทย และทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ในราคาที่เอื้อมถึง ด้วยแนวคิด 3 แกนหลัก อันได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด ประสบการณ์ที่ดีที่สุด และการขับเคลื่อนที่ดีที่สุด” มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวในงานเปิดตัว
ขณะ นายสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนการปรับกำลังการผลิตรถยนต์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่ตอบรับรถยนต์รุ่นใหม่ที่ได้เปิดตัวล่าสุดได้แก่ โตโยต้า ยาริส เอทีฟ ใหม่ ซึ่งนับตั้งแต่เปิดตัวรถยนต์รุ่นดังกล่าวครั้งแรก เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา จนถึงล่าสุดเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2565 โตโยต้า ยาริส เอทีฟ ใหม่ มียอดจองสะสมแล้วกว่า 21,350 คัน ซึ่งถือว่าเกินกว่าคาดหมาย จากเป้าเดิมที่ตั้งไว้ 3,500 คันต่อเดือน โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาปรับไลน์การผลิต ยาริส เอทีฟ ให้สอดคล้องต่อความต้องการของลูกค้าให้เร็วที่สุดจากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่เดือนละ 3,500 คัน
นอกจากนี้ บริษัท ยังมีแผนการกระตุ้นตลาดสำหรับรถยนต์รุ่นดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงปลายปีนี้ มีแผนที่จะเปิดตัว โตโยต้า ยาริส เอทีฟ ใหม่ รุ่นตกแต่งพิเศษ Modellista เพิ่มเติมอีกรุ่น
สำหรับ โตโยต้า ยาริส เอทีฟ ใหม่ ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย โดยยังคงทำตลาดในฐานะรถอีโคคาร์เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น Sport, รุ่น Smart, รุ่น Premium และรุ่น Premium Luxury เคาะราคาจำหน่ายระหว่าง 539,000 – 689,000 บาท
โตโยต้า ยาริส เอทีฟ ใหม่ ชูจุดเด่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกสไตล์ฟาสต์แบ็ก ดีไซน์สง่างาม มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำเพียง 0.284 โดยทุกรุ่นมาพร้อมไฟหน้าแบบ Full LED, ล้ออัลลอยสีทูโทนขนาด 16 นิ้ว, ไฟท้ายแบบ Full LED Light-guiding ที่มีไฟเลี้ยวแบบ Sequential ซึ่งโตโยต้าระบุว่าสามารถนำไปต่อยอดการตกแต่งได้อย่างหลากหลายครอบคลุมความชื่นชอบของลูกค้าหลายๆ กลุ่ม
นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูง Toyota Safety Sense ในรถกลุ่มอีโคคาร์ของโตโยต้า ซึ่งประกอบไปด้วย ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบ All-Speed, ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS, ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยดึงกลับอัตโนมัติ LDA, ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว, ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งแบบผิดวิธี (Pedal Misoperation Control) และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High Beam)
รถยนต์รุ่นนี้ยังให้ความประหยัด ด้วยขนาดเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Dual VVT-iE ความจุ 1.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 94 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 110 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม Sequential Shift กินน้ำมันสูงสุดอยู่ที่ 23.3 กม./ลิตร และผ่านค่ามาตรฐานไอเสีย Euro 5
มร.ยามาชิตะ กล่าวเสริม “ผมเชื่อมั่นว่ารถยนต์รุ่นนี้จะเป็นผู้นำในตลาดคอมแพ็ค ซีดาน โดยรถรุ่นนี้จะทำการประกอบที่โรงงานผลิตรถยนต์โตโยต้าเกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา โดยใช้ระบบการผลิตแบบควบ 2 กะ พร้อมพนักงานกว่า 10,000 คน ที่จะมีส่วนร่วมในกระบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นยังทำการผลิตเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังกว่า 35 ประเทศทั่วโลก นี่ไม่ใช่เพียงแค่รถยนต์ที่ดีกว่าที่เราเคยมีมาเท่านั้น แต่ยังมอบคุณค่าที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าคนสำคัญของเรา”
“ส่วนทิศทางของตลาดรถยนต์นั่ง เราคาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มการปรับตัวที่ดี แต่เนื่องจากมีปัจจัยภายนอกด้านการผลิตของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ชิป) จึงอาจส่งผลต่ออัตราการเติบโตบางส่วน” นายสุรศักดิ์ กล่าวตบท้าย