“เอ็มจี” เชื่อตลาดอีวีโต มั่นใจปีหน้ามีรถส่งมอบ

เอ็มจี เชื่อมั่นตอกย้ำความนิยมอีวี เติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ยังติดปัญหาขาดแคลนชิ้่นส่วนประกอบ เชื่อปีนี้ เอ็มจี ส่งมอบได้ 3,500 คัน มั่นใจปีหน้าทะลุหลักหมื่น ขณะที่ยอดสะสมมากกว่า 6,000 คัน
นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กระแสความนิยมตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรืออีวี ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ เอ็มจี ก็ได้รับการตอบรับที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งแต่เริ่มต้นทำตลาดด้วยรุ่นแรก คือ เอ็มจี แซดเอส อีวี ก่อนจะเสริมด้วย เอ็มจี อีพี ถึงปัจจุบันมียอดส่งมอบสะสมแล้วกว่า 6,000 คัน
ส่วนปีนี้ปัญหาเรื่องของชิ้นส่วนประกอบ โดยเฉพาะเซมิคอนดัคเตอร์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้บริษัทต้องหยุดรับจองรถเป็นระยะ โดยปัจจุบัน เอ็มจี อีพี ยังอยู่ในช่วงการหยุดรับจองชั่วคราว ขณะที่แซดเอส อีวี กลับมาเปิดรับจองแล้ว ซึ่งผลให้ยอดจองกลุ่มอีวีในงานมหกรรมยานยนต์ที่ผ่านมาทำได้โดดเด่นระดับ 500-600 คัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของยอดจองรถทุกรุ่นในงาน 2,443 คัน
ด้านยอดจองที่รอส่งมอบ ขณะนี้ในส่วนของ เอ็มจี อีพี มีประมาณ 2,000 คัน โดยบริษัทอยู่ในช่วงการบริหารจัดการสต็อก คาดว่าจะสามารถส่งมอบได้ทั้งหมดภายในเดือนก.พ. 2566 ส่วนแซดเอส อีวี มียอดค้างจองประมาณ 1,000 คัน และจะส่งมอบได้หมดภายในเดือนม.ค. 2566 ส่วนลูกค้าที่จองรถในช่วงเวลานี้ จะรับรถในช่วงประมาณ 2 เดือน
ขณะที่ อีวี รุ่นใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวในช่วงงานมหกรรมยานยนต์ คือ เอ็มจี 4 ได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างมากเช่นกัน โดยการจองผ่านช่องทางออนไลน์มียอดรวมประมาณ 2,000 คัน โดยบริษัทจะเตรียมการส่งมอบหลังจากนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ได้ส่งรถไปให้ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศเพื่อใช้ทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการเปิดให้ลูกค้าได้ทดลองขับ
ทั้งนี้เอ็มจี 4 มีจุดเด่นคือ การสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มอีวี โดยเฉพาะเป็นรุ่นแรก หรือ NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM และใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง รวมถึงเป็นรถที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำจากตำแหน่งการติดตั้งแบตเตอรี่ ตำแหน่งเบาะนั่ง นอกจากนี้การกระจายน้ำหนักรถ หน้า/หลัง ยังทำ 50/50 ทำให้ได้อารมณ์สปอร์ตในการขับขี่ ดังนั้นการดึงลูกค้าเข้ามามีประสบการณ์ตรงกับรถ เชื่อว่าจะทำให้รู้จักและชื่นชอบในรถมากขึ้น โดยลูกค้าเป้าหมายที่สำคัญคือคนที่ชอบเทคโนโลยี และชอบการขับขี่รถยนต์ รวมถึงชื่นชอบการดีไซน์
สำหรับเอ็มจี 4 ติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ขนาดความจุ 51 กิโลวัตต์ชั่วโมง รองรับการขับขี่ได้ระยะทางสูงสุด 425 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) และมีระบบชาร์จพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ในขณะชะลอรถ ด้วยระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ซึ่งเลือกการชาร์จกลับได้ 4 ระดับ ได้แก่ ระดับ ต่ำ กลาง สูง และแบบแปรผันตามการขับขี่ (ADAPTIVE) มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร
สำหรับภาพรวมตลาดอีวีของเอ็มจี ในปีหน้า เชื่อว่า การมีสินค้าใหม่เพิ่มเข้ามา และปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วน โดยเฉพาะเซมิคอนดัคเตอร์ที่เริ่มคลี่คลาย จะทำให้ยอดขายขยายตัวขึ้นในระดับ 1 หมื่นคัน
ส่วนภาพรวมอีวี ทั้งตลาด คาดจะเติบโตอย่างน้อย 2 เท่าตัวจากปีนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการที่มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในตลาดมากขึ้น มีรถรุ่นต่างๆ ให้เลือกที่หลากหลายมากขึ้น และการเข้ามาของรายใหม่ช่วยกระตุ้นความสนใจต่ออีวีของผู้บริโภคมากขึ้นอีกด้วยเช่นกัน
นายพงศักดิ์กล่าวว่า เอ็มจี ไม่ได้เน้นตลาดอีวีเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับพลังงานทางเลือกอื่นๆ อีกด้วย ทั้งไฮบริด และปลั๊ก-อิน ไฮบริด และล่าสุด บริษัทได้รับรางวัลสุดยอดสินค้าและบริการแห่งปี หรือ “BUSINESS+ PRODUCT OF THE YEAR AWARDS 2022” กลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์พลังงานทางเลือก
โดย เอ็มจี วีเอส เอชอีวี เป็นรถที่ได้รับการคัดเลือกจากผู้บริโภคให้เป็นสินค้าและบริการกลุ่มยานยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี
รางวัลดังกล่าวจัดขึ้นโดยนิตยสาร BUSINESS+ ร่วมกับวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล แบ่งออกเป็น 10 ประเภทสินค้าและบริการ รวม 38 รางวัล
ก่อนหน้านี้รถยนต์เอ็มจีเคยคว้ารางวัลนี้มาครองแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น เอ็มจี แซดเอส อีวี และเอ็มจี เอชเอส พีเอชอีวี รถปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่สามารถขับขี่ด้วยโหมดไฟฟ้าอย่างเดียวได้ระยะทางสูงสุด 67 กม.สำหรับ วีเอส เอชอีวี มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย แบ่งออกเป็น รุ่น D และรุ่น X ราคา 859,000 บาท และ 919,000 บาท นอกจากนี้บริษัทยังมีแคมเปญพิเศษส่งเสริมการขายถึงวันที่ 31 ธ.ค. ประกอบด้วย ดอกเบี้ย 0.89% เมื่อดาวน์เริ่มต้น 25% ผ่อนนาน 48 เดือน