“เอสยูวี” ดัน “มาสด้า” เร่งเครื่อง เติมรุ่น เชื่อท้ายปีตลาดฟื้น ล็อกเป้า 3.8 หมื่นคัน

ความนิยมของรถยนต์อเนกประสงค์ ส่งผลให้ มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) เติบโตเพิ่มขึ้น 19% ในเซ็กเมนต์ดังกล่าว ดันยอดขายค่ายมาสด้าทะลุ 28,000 คัน หลังผ่าน 10 เดือน เชื่อตลาดรถยนต์ฟื้นตัวหลังผ่านจุดต่ำสุดในช่วงวิกฤติ พร้อมเดินเครื่องสร้างโอกาสเติบโตต่อเนื่องด้วยรถใหม่ 2 รุ่น ล็อกเป้าเก็บเกี่ยวยอดขาย 38,000 คันในสิ้นปีนี้
“สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากปัจจัยบวกหลายๆ ด้าน ทั้งจากมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ รวมถึงประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนมากยิ่งขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง การประกาศเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ระบบมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ที่กำลังปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ที่สำคัญปลายปีถือเป็นช่วงไฮซีซั่น ประชาชนจะออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น” นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมทางเศรษฐกิจ
สำหรับผลประกอบการของ มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม มียอดขายสะสมทั้งสิ้น 28,327 คัน ลดลงเล็กน้อยประมาณ 6% จากปีก่อนหน้า โดยรถอเนกประสงค์เอสยูวียังคงได้รับความนิยมและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดจำนวนรวมทั้งสิ้น 10,659 คัน เพิ่มขึ้นถึง 19% จำแนกเป็น มาสด้า CX-30 จำนวน 5,757 คัน, มาสด้า CX-3 จำนวน 3,493 คัน, มาสด้า CX-8 จำนวน 717 คัน และมาสด้า CX-5 จำนวน 692 คัน
ด้านรถยนต์นั่งซึ่งเป็นกำลังหลักของค่ายมาสด้าในช่วงที่ผ่านมา มียอดขายลดลง 11% หลังเก็บไปได้ทั้งสิ้น 16,636 คัน นำทัพโดย มาสด้า2 จำนวน 14,901 คัน, มาสด้า3 จำนวน 1,732 คัน และมาสด้า MX-5 จำนวน 3 คัน ในขณะที่ยอดขาย รถปิกอัพมาสด้า บีที-50 สามารถขยับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะในช่วงที่ผลผลิตทางการเกษตรเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยว ส่งผลให้มียอดขายรวม 1,032 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวรุ่นล่าสุดในตลาดประเทศไทย
โดยในช่วงที่ผ่านมา มาสด้า ได้ปรับโหมดการบริหารจัดการทั้งเรื่องของการจัดการภายในองค์กรและปรับกลยุทธ์เพื่อผู้จำหน่ายทั่วประเทศ ที่ต้องอาศัยความยืดหยุ่นและการจัดการที่รวดเร็วให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกการสื่อสาร โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล รวมถึงมาตรการรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในวงกว้าง ส่งผลทำให้มาสด้าสามารถสร้างธุรกิจให้เดินหน้าสู่การเติบโตต่อไป และดำเนินกิจกรรมตามแผนงานที่วางไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี และคาดว่าจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากกว่า 5% หรือใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ 38,000 คัน ภายในสิ้นปีนี้
นอกจากโหมกิจกรรมด้านการขายแล้ว มาสด้ายังได้ยกระดับการบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อส่งมอบบริการที่ประทับใจและสร้างความผูกพันให้กับลูกค้าปัจจุบัน และสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถเข้ารับบริการหลังการขายที่ศูนย์บริการมาตรฐาน ด้วยโปรแกรมให้การช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งส่วนลดค่าแรง ค่าอะไหล่ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการที่ได้มาตรฐานและไร้กังวลกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น และได้เตรียมแผนเปิดตัวธุรกิจรูปแบบใหม่เพื่อกระตุ้นตลาด
“นับตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา มาสด้าได้แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ลงตลาดในกลุ่มรถอเนกประสงค์ เพื่อกระตุ้นตลาดและสร้างความสดใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มรถอเนกประสงค์เอสยูวีที่รวมถึง MAZDA FAMILY SUV อันเป็นโมเดลหลักสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคหันมานิยมรถประเภทนี้มากขึ้น และกำลังเป็นเซ็กเมนต์ที่มีการเติบโต เพราะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ทั้งนี้ยังกระตุ้นยอดขายด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่โชว์รูม ศูนย์การค้า และแหล่งชุมชน เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย” นายธีร์ กล่าวถึงความสำคัญของรถเอสยูวี
ล่าสุด ค่ายมาสด้า ได้เสริมทัพด้วยรถอเนกประสงค์ 2 รุ่น ไล่ล่ายอดขายตลาดเอสยูวีในช่วงท้ายปี เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภครวมถึงสร้างโอกาสเติบโตในเซ็กเมนต์ดังกล่าวด้วย มาสด้า CX-5 รุ่นปรับโฉม ที่มีราคาเริ่มต้นเพียง 1.3 ล้านบาท และมาสด้า CX-8 รถอเนกประสงค์แบบที่นั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง เพิ่มทางเลือกด้วยรุ่น Exclusive เบนซิน 6 ที่นั่ง ชูความหรูหราของครอสโอเวอร์เอสยูวี อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี ภายใต้ราคา 1.4 ล้านบาท ทั้งยังเตรียมส่งรุ่นใหม่อีกหลายรุ่นลุยตลาด พร้อมเดินหน้าเสริมแกร่งด้านการขายและการบริการ อัดโปรโมชันรับกำลังซื้อ
“แรงหนุนจากมาตรการของภาครัฐที่เข้ามาช่วยส่งเสริมด้านการใช้จ่ายให้คึกคัก และส่งเสริมการท่องเที่ยว อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรถยนต์อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงโปรโมชันส่งเสริมการขาย ซึ่งคาดว่าภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 720,000-750,000 คัน แม้ว่าจะเป็นตัวเลขต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี แต่เชื่อว่าตลาดรถยนต์ไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ผนวกกับบรรยากาศและกำลังซื้อของผู้บริโภคกำลังกลับมาด้วยเช่นกัน” นายธีร์ ทิ้งท้าย