“มาสด้า” 10 เดือนยอดโต เสริมทัพ ล่าเป้า 3.5 หมื่น

มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) เติมความสดใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ด้วยรถรุ่นพิเศษ Carbon Edition ยกระดับความสปอร์ตและพรีเมียมด้วยชุดแต่งทั้งภายนอกและภายใน สานต่อทิศทางบวกหลังเก็บเกี่ยวยอดขาย 28,900 คัน ใน 10 เดือนแรกของปี เชื่อตลาดขยายตัวต่อเนื่องในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ล็อกเป้าขาย 35,000 คันในปีนี้
ด้วยภาพรวมทางเศรษฐกิจ บวกกับวิกฤติขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงอุทกภัยในหลายพื้นที่ ส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไม่เติบโตเท่าที่ควร หลังผ่านจุดต่ำสุดนับตั้งแต่โคโรนาไวรัส 2019 เข้ามาเป็นประเด็นหลักในสังคม อย่างไรก็ดีจากการเดินหน้าทำตลาดของหลากหลายค่าย สร้างอัตราเติบโตด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
โดย มาสด้า เป็นหนึ่งในค่ายยานยนต์ที่วางกลยุทธ์กระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยโปรโมชันและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ส่งผลให้สามารถเดินหน้าเก็บเกี่ยวยอดขายได้แล้วมากกว่า 28,900 คัน หลังผ่าน 10 เดือนแรกของปี เติบโตขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเชื่อว่ายังมีโอกาสเติบโตในช่วงไตรมาสที่ 4 สอดคล้องกับทิศทางของตลาด
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 คาดการณ์ว่าจะขยายตัวดีขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็นผลจากการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงนโยบายจากภาครัฐที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการเติบโตของธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ทว่ายังคงต้องจับตามองเรื่องการขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์ที่สะสมมาตั้งแต่ช่วงก่อนหน้า ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ยังคงไม่คลี่คลายได้มากเท่ากับที่ประเมินไว้ในช่วงต้นปี และยังมีความไม่แน่นอนสูง”
“รวมถึงปัจจัยสำคัญจากนโยบาย Zero-Covid ของประเทศจีน และปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงยืดเยื้อ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมรถยนต์โดยรวม แต่ยังเชื่อว่า ตลาดรถยนต์ไทยจะเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาประมาณ 15% หรืออยู่ที่ประมาณ 870,000 คัน”
ล่าสุดได้เสริมทัพด้วยรถรุ่นพิเศษ Carbon Edition ภายใต้ 4 รุ่น ได้แก่ มาสด้า2, มาสด้า3, มาสด้า CX-3 และ มาสด้า CX-30 ที่มาพร้อมแนวคิด “Unique You” โดดเด่นทั้งภายนอกและภายในที่ได้รับการออกแบบขึ้นพิเศษเพื่อลูกค้าชาวไทย สร้างความแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ โดยนำคอนเซปต์สไตล์คาร์บอนมาสร้างแรงบันดาลใจในการถ่ายทอดภาพลักษณ์ความสปอร์ตเพิ่มความหรูหรา ด้วยชุดแต่งพิเศษประกอบด้วยกระจกมองข้างสีดำ และล้ออัลลอยสีดำ ขนาด 18 นิ้ว ที่ตัดกันอย่างลงตัว
ภายในห้องโดยสารที่มาพร้อมความพิเศษกับเบาะนั่งสีแดง Burgundy ตกแต่งภายในด้วยหนังสีดำเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดงบ่งบอกสไตล์ของผู้ขับได้อย่างชัดเจน การผสมผสานของสีและการตกแต่งนี้ทำให้รุ่นพิเศษนี้ดูสปอร์ตอย่างเด่นชัด กลายเป็นรถยนต์ที่เติมเต็มความต้องการของลูกค้าที่กำลังมองหารถยนต์ที่มีภาพลักษณ์สปอร์ต และถ่ายทอดความสนุกสนานในการขับขี่ ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่น่าดึงดูดใจอันเป็นลักษณะเฉพาะของรถยนต์มาสด้าได้อย่างลงตัว
โดย มาสด้า คาดการณ์ว่าจะสามารถทำยอดขายในปีนี้ได้ใกล้เคียงกับยอดขายเมื่อปี 2564 อยู่ที่ราว 35,000 คัน โดยรถรุ่นที่มียอดขายสูงสุดยังคงเป็นรถยนต์นั่งมาสด้า2 ตามด้วย มาสด้า CX-30 และมาสด้า CX-3 ซึ่งรถครอสโอเวอร์รุ่นอื่นๆ ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน แต่เนื่องจากปัญหาเรื่องการขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์เพื่อการผลิต จึงทำให้ไม่สามารถส่งมอบรถใหม่ให้กับลูกค้าได้ทันกับยอดจองที่เพิ่มขึ้น และทำให้ยอดขายลดลงกว่าที่วางเป้าหมายไว้ในช่วงต้นปี ซึ่งคาดว่าภายในเดือนมกราคมการผลิตจะกลับมาอยู่ในภาวะปกติและสามารถส่งมอบให้กับลูกค้าได้มากขึ้น
“มาสด้า มองว่าในปี 2566 คาดว่าปัจจัยลบด้านต่างๆ ที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมรถยนต์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่เชื่อว่าจะคลี่คลายลงในไม่ช้านี้ และการผลิตรถยนต์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ รวมถึงนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวของหลายๆ ประเทศ ก็เป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดเป็นเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น ความต้องการรถยนต์ใหม่เพิ่มสูงขึ้น”
“ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ยังคงมีปัจจัยลบที่ต้องจับตามอง อาทิ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น การแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น รวมถึงนโยบายดอกเบี้ยจากภาครัฐ อาจส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของลูกค้า ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนส่งผลต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งสิ้น” นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ คาดการณ์ถึงทิศทางของภาพรวมทางเศรษฐกิจในปีหน้า